ความสวยงามของซิดนีย์และแคนเบอร์ร่าประเทศ Australia ระหว่างวันที่ 3 -8 สิงหาคม 2552 บนเส้นทางสายนครซิดนีย์สู่แคนเบอร์ร่า
คณะเดินทางออกจากนครซิดนีย์ เวลา ประมาณบ่ายโมง โดยรถ Coach 36 ที่นั่ง แต่คณะเราไปรวมกัน 20 คน ทุกคนจึงจับจองที่นั่งริมหน้าต่าง เตรียมชมทัศนียภาพสองข้างทางตลอดการเดินทาง
เมื่อออกพ้นนครซิดนีย์ถนนที่เรียกว่า “High way” ก็ไม่มีไฟเขียวไฟแดงอีกต่อไป มีเฉพาะทางแยกไปทั้งสองฝั่ง เป็นทางแยกในชนบทที่ไม่เห็นบ้านเรือนผู้คนเลย รถ Coach วิ่งผ่านฟาร์มปศุสัตว์มองสุดสายตา มีฟาร์มโคเนื้อพันธุ์สีดำ สีแดง สีแดงขาว ฟาร์มม้าที่พิเศษคือเจ้าของฟาร์มห่มผ้าให้ม้า ส่วนใหญ่เดินกินหญ้าอยู่ในฟาร์ม ฟาร์มแกะมองไกล ๆ เหมือนก้อนซาลาเปาและฟาร์มจิงโจ้ จริง ๆ แล้วจิงโจ้ชอบแอบไปอยู่ในฟาร์มของเกษตรกรเสียมากกว่า ผ่านไร่องุ่นที่มองเห็นเพียงต้น เจ้าของฟาร์มตัดใบทิ้งหมด ดร.อัจฉรา เล่าให้ฟังว่า “ฤดูหนาวเกษตรกรต้องตัดใบองุ่นทิ้ง เพราะน้ำในใบจะเป็นน้ำแข็งทำให้องุ่นเสียหาย”
รถวิ่งผ่านดอกไม้ป่าสองข้างทางดอกสีเหลืองตัดกับใบสีเขียวสวยงามมาก เห็นมีเพียงดอกไม้ชนิดนี้ชนิดเดียวแหละที่บานดอกตัดกับความแห้งแล้งของฤดูที่ใบไม้ร่วงเกือบหมด มัคคุเทศก์อธิบายว่า ปีนี้อากาศแปรปรวนดอกไม้สีเหลืองบานเร็วผิดปกติ แต่ผู้เขียนคิดเองว่า ธรรมชาติของออสเตรเลียให้รางวัลคณะศึกษาดูงานและการเจรจาเสียมากว่า
ระยะทางจากนครซิดนีย์ถึงแคนเบอร์ร่า ประมาณ 270 กิโลเมตร แม้จะเป็น High way แต่รถ coach ก็ทำความเร็วได้ไม่เกิน 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง และเมื่อขับไปได้ประมาณ 2 ชั่วโมงก็ต้องหยุดพัก ผู้เขียนมองเห็นพนักงานขับรถนั่งบันทึกรายละเอียดลงในเอกสารขณะหยุดรถ เชื่อว่า เพื่อการตรวจสอบว่าปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่ หากคนขับรถไม่ปฏิบัติตามอาจถูกสั่งพักการขับรถเป็นเวลาถึง 3 ปี จึงไม่น่าเสี่ยงในการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
เมื่ออีกประมาณ 50 กิโลเมตร ก่อนถึงแคนเบอร์ร่า คณะเดินทางมองเห็นกังหันลมติดตั้งบนกูเขาลูกเล็ก ๆ ที่ลดหลั่นกัน ในทุ่งหญ้านับได้เป็นร้อย ๆ เครื่อง ชาวคณะศูนย์วิทย์ฯตื่นเต้นเสียงดังท่านเลขาธิการ สั่งให้รถหยุดที่จุดพักรถให้พวกเราได้ถ่ายภาพกังหันลมอย่างจุใจ มีนายรู้ใจทุกคน Happy รถวิ่งเข้าใกล้ แคนเบอร์ร่าธรรมชาติที่เป็นทุ่งหญ้าเริ่มกลายเป็นภูเขามีต้นไม้เห็นไกล ๆอยู่ทั่วไปคล้ายกับกำแพงที่ล้อมนครแคนเบอร์ร่าไว้ น่าจะด้วยเหตุนี้อุณหภูมิแคนเบอร์ร่าจึงต่ำกว่านครซิดนีย์ถึง 10 องศาเซลเซียส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น