วันพุธ, พฤษภาคม 13, 2552

คลองหมากเม่า







“คลองหมากเม่า” เป็นคลองเล็ก ๆ ยาวประมาณ 200 เมตร เป็นคลองขุดเพื่อกันเขตที่ตั้งของศูนย์วิทย์ ฯ สระแก้ว ที่เรียกคลองหมากเม่าเพราะพบต้นหมากเม่ากำลังเติบโตตามธรรมชาติตลอดคลอง นับดูมีจำนวนถึง 36 ต้น ปีนี้ (2552) ต้นหมากเม่าเริ่มออกผลเป็นปีแรก ในอนาคตคลองหมากเม่าจะเป็นแหล่งอาหารของนกกินผลไม้และสัตว์กินผลไม้ เช่น กระรอก กระแต อย่างแน่นอน
หมากเม่ามีประโยชน์ต่อมนุษย์อย่างไรบ้าง อันดับแรกหมากเม่าเป็นผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานนิด ๆ ฝาดหน่อย หมากเม่าจึงเป็นสมุนไพรมีคุณสมบัติเป็นยาระบายและบำรุงสายตาเพราะมีวิตามิน C (ผลไม้รสเปรี้ยว) จากงานวิจัยพบว่า หมากเม่ามีวิตามิน B1 B2 C และวิตามิน E
จากข้อมูล Website http://hs4is.multiply.com/ ระบุว่ามีผลงานวิจัยที่น่าสนใจเกี่ยวกับหมากเม่า เช่น
กัมมาลและคณะ (2546) ศึกษาฤทธิ์ต้านเชื้อ HIV เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย ของสมุนไพรไทย 5 ชนิด ได้แก่ หมากเม่า ฟ้าทลายโจร หญ้าแห้วหมู ผักเป็ดแดง และสายน้ำผึ้ง พบว่า หมากเม่า สายน้ำผึ้งและหญ้าแห้วหมู มีศักยภาพในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันและมีฤทธิ์ต้านเชื้อ HIV ได้
สรุปว่า หมากเม่ามีคุณค่าต่อสัตว์ต่อมนุษย์ทั้งเรื่องอาหารและยารักษาโรคน่าสนใจไหม

วันอังคาร, พฤษภาคม 12, 2552

เถากระไดลิงกับนกกินปลี






ในสวนสมุนไพรซึ่งเป็นฐานการเรียนรู้ฐานหนึ่งของศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาสระแก้ว มีต้นไม้เถาชนิดหนึ่งเรียกว่า “เถากระไดลิง” ในข้อมูลจากพจนานุกรมบอกว่าเถากระไดลิงมีดอกที่ยอดเป็นสีขาว แต่ที่ศูนย์วิทย์ฯ สระแก้ว เถากระไดลิงมีช่อดอกยาว ๆ สีแดงดอกบานติดต่อกันนับเวลาเป็นเดือนๆ เพราะแต่ละช่อดอกทยอยบานไล่กันคล้าย ๆ กับดอกกล้วยไม้ตระกูลหวาย การที่เถากระไดลิงบานดอกในเวลาที่ต่อเนื่องทำให้นกประเภทกินน้ำหวาน เช่น นกกินปลี มาอยู่ มากิน มาเลี้ยงลูกที่ต้นไม้บริเวณที่เถากระไดลิงบานดอกอยู่ และจากการสังเกตยังพบว่านกกินปลีกินแมลงตัวเล็กๆเช่น แมลงเม่าด้วยเช่นกัน
นักวิชาการศึกษาของศูนย์วิทย์ฯ สระแก้ว จึงใช้โอกาสนี้ศึกษาชีวิตนกกินปลีชนิดต่าง ๆ เช่น กินปลีอกเหลือง กินปลีดำม่วง ทั้งเพศผู้ เพศเมียและลูกนก พร้อมฝึกการใช้ Binoculars และ Telescope การถ่ายภาพผ่าน Telescope ไปพร้อม ๆ กัน
บางครั้งโอกาสก็อยู่ใกล้เราจนทำให้เราเกือบมองไม่เห็น เราคงต้องเรียนรู้ที่จะมองทุกสิ่งทุกอย่างใกล้ ๆ ตัวเพื่อเข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติตามความเป็นจริง (หมายเหตุ ได้ตรวจสอบแล้วต้นไม้ไม่ใช่เถากระไดลิงแต่เป็นเถาขยันหรือย่านางแดง ยอดอ่อนกินเป็นผักสดได้)

วันจันทร์, พฤษภาคม 11, 2552

ร่องรอยวิถีชุมชนบ้านนาข่า


หากใครได้มีโอกาสไปจังหวัดอุดรธานี แหล่งหนึ่งที่นักเดินทางไม่เคยพลาดเห็นจะเป็นชุมชนบ้านนาข่า ที่นี่เป็นสถานที่ผลิตผ้าไหมและตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูปโดยชาวบ้านนาข่า ซึ่งมีให้เลือกหลายร้านทั้งสองฝั่งถนน ในราคายุติธรรม (ถูกมาก ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับราคาที่กรุงเทพฯ) ผ้าไหมกับชุมชนนาข่าเป็นวิถีชีวิตในปัจจุบัน
จังหวัดอุดรธานีเมื่อผ่านไปทางไหนต้องพบเห็นพญานาคเต็มเมืองไปหมด ไม่ว่าจะเป็นป้ายบอกสถานที่ก็มีพญานาค ไฟส่องทางริมถนนก็มีพญานาค น้ำพุวงเวียนก็มีพญานาค ใกล้ๆ หมู่บ้านนาข่ามีวัดอยู่วัดหนึ่ง ชื่อวัดนาคาเทวี ที่ซุ้มประตูระบุข้อมูลเพิ่มเติมว่าอยู่ตำบลบ้านนาข่า อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ฟังชื่อวัดแล้วน่าจะเกี่ยวพันกับพญานาคจึงชื่อว่า นาคาเทวี
วัดแห่งนี้มีต้นยางขนาดใหญ่อยู่หลายต้นขนาดอาจถึง 4-5 คนโอบคะเนว่าน่าจะมีอายุ 100-150 ปี ต้นไม้ใหญ่ขนาดนี้เป็นเหมือนหลักศิลาจารึกที่บอกเรื่องราวในอดีตได้ หากเราพยายามสังเกตอย่างละเอียด อย่างกรณี ต้นยางที่อยู่ในวัดนาคาเทวีมีร่องรอยถูกขุดที่โคนต้นเป็นแผลเป็น มีรอยใช้ไฟสุมในต้นยางแต่ละต้นมีแผล 2-3 แห่ง กาลเวลาผ่านไปต้นยางพยายามปิดแผลเป็นแต่ก็ปิดได้ไม่หมด จึงทำให้เราทราบได้ว่าเมื่อ 50-60 ปีก่อนชาวชุมชนบ้านนาข่าได้อาศัยน้ำมันยางจากต้นยางในวัดเหล่านี้เพื่อนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงและทิ้งร่องรอยให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาวิถีชีวิตของชุมชนบ้านนาข่า

นกกินปลีดำม่วงที่ศูนย์วิทย์สระแก้ว




นกกินปลีดำม่วง (Purple Sunbird)

คุณกำพล บุญชูสว่าง ภูมิปัญญาท้องถิ่นการดูนกซึ่งท่านให้ความกรุณาเป็นวิทยากรนำดูนกในกิจกรรมค่ายให้ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาสระแก้วเสมอ ๆ รายงานว่าพบนกกินปลีดำม่วง ในบริเวณศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาสระแก้ว และคาดว่านกต้องทำรังเลี้ยงลูกบริเวณนี้ด้วยที่คาดเดาเช่นนี้เพราะมีดอกไม้ที่ให้น้ำหวานคือดอกเถากระไดลิงบานติดต่อกันนานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว
เช้าวันที่สิบเอ็ดพฤษภาคมเป็นวันพืชมงคล ขณะที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างห้องทำงาน ใช้ telescope ของ Swarovski มองออกไปเห็นลูกนกกินปลีดำม่วงที่คุณกำพลรายงานไว้จริงๆเกาะต้นกระท้อนอยู่ จึงนำกล้องถ่ายรูปทาบเลนซ์ telescope ถ่ายภาพลูกนกกินปลีที่น่ารักไว้ได้ มองนาฬิกา เวลา 10.10 น. กด Altimeter ดูความสูงจากระดับน้ำทะเลบอก 110 เมตร
สรุปว่า พบนกกินปลีดำม่วงซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nectarinia asiatica ตัวเล็ก ๆ ขนาดประมาณ 10 เซนติเมตร ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 110 เมตร เวลา 10.10 น. วันที่ 11 พฤษภาคม 2552 ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาสระแก้ว อ.เมืองสระแก้ว

ตามรอยโครงกระดูกคนโบราณ



บ่ายของวันที่ 7 พฤษภาคม 2552 คณะของเราลงสำรวจแหล่งน้ำที่อ่างเก็บน้ำเขาสามสิบ เพื่อวางแผนทำกิจกรรมนักสืบสายน้ำ ขยายผลลงสู่พื้นที่ระดับหมู่บ้าน ในวันที่ 27 – 28 พฤษภาคม 2552 จากการสืบหาข้อมูลในบริเวณนั้นพบว่าที่บ้านโคกมะกอก ตำบลเขาสามสิบ อำเภอเขาฉกรรจ์ จังหวัดสระแก้ว มีโครงกระดูกของคนโบราณที่ชาวบ้านขุดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก บางครั้งพบเครื่องใช้เครื่องประดับอยู่กับโครงกระดูกด้วย เช่น หม้อดิน ลูกปัดแบบต่างๆ คณะของเราจึงตามไปดูจากแหล่งข้อมูลที่ได้รับ
พบโครงกระดูกคนโบราณกองอยู่ในศาลาเล็กๆ เป็นโครงกระดูกชิ้นใหญ่ เช่น กระดูกแขน กระดูกขา และกะโหลก มีคนพิการนอนเฝ้าอยู่หนึ่งคน มาทราบภายหลังว่าเป็นหมอดู คนพิการที่เฝ้าอยู่นี้แนะนำว่า ถ้าต้องการรู้ข้อมูลเพิ่มให้ไปหา นายไหม ทูคำมี ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแห่งนั้น เมื่อคณะได้พบปะพูดคุยกับ นายไหม ซึ่งอายุ 62 ปีแล้ว นายไหมเล่าเรื่องราวต่างๆ ประมวลแล้วเป็นตำนานที่ไม่มีหลักฐานใดยืนยันถึงการขุดพบสมบัติต่างๆ ในหลุมศพหรือใกล้โครงกระดูก แต่นายไหม มีลูกปัดร้อยเป็นพวง 4 – 5 เส้นมาให้ดู พร้อมบอกราคา เส้นละ 2,000 บาท ถึง 7 หมื่นบาท ลูกปัดที่นำมาให้ดูจริงหรือไม่ก็ยากพิสูจน์ทราบ ประเด็นที่ต้องการคือ การศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ที่มาที่ไปของคนโบราณกลุ่มนี้ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร เป็นคนโบราณอยู่ในช่วงเวลาใด อายุโครงกระดูกเท่าใด มีวัฒนธรรมอย่างไร เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ แต่การขุดโครงกระดูมากองไว้ดังที่ปรากฏ นับเป็นที่สะเทือนใจยิ่ง ควรจัดการกับโครงกระดูกของคนโบราณนั้นอย่างไรมิใช่กองไว้อย่างที่เห็น
หมายเหตุ ทุกอย่างมีทั้งจริงมีทั้งเท็จ ผู้ที่จะบอกได้ว่าเรื่องใดจริง เรื่องใดเท็จ มิใช่โครงกระดูกของคนโบราณ แต่เป็น ตาไหม ทูคำมี นั่นเอง

วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 07, 2552

ต้นไคร้ ไม้ชลอน้ำ



ใครก็ตามที่มีภูมิลำเนาเกิดหรือมีชีวิตอยู่ใกล้บริเวณแม่น้ำในพื้นที่ป่าต้นน้ำ เช่น แม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม แม่น้ำน่าน หรือ แม้แต่บริเวณต้นน้ำนครนายก ที่รองรับน้ำจากป่าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จะพบเห็นต้นไม้ชนิดหนึ่ง สูงประมาณ 1-2 เมตร ขึ้นเป็นกอ เกาะซอกหินอยู่กลางแม่น้ำ ไม้ชนิดนี้ถูกน้ำท่วมก็ไม่ตาย น้ำไม่สามารภพัดพาไปได้ ต้นไม้ต้นนั้นคือ “ต้นไคร้” หรือ “ไคร้น้ำ”
ต้นไคร้เป็นต้นไม้ที่ทั้งเหนียวและทนทาน ต้นไคร้จึงมีคุณสมบัติเป็นเขื่อนธรรมชาติที่ชลอความเร็ว ความแรงของน้ำได้ เมื่ออดีต (40-50 ปีที่ผ่านมา) เด็กที่เกิดริมแม่น้ำ ที่มีต้นไคร้อยู่ จะได้ประโยชน์จากต้นไคร้โดยนำมาทำลูกข่าง เมื่อลูกข่างหมุน จะมีเสียงดัง หึ่ง...หึ่ง มีความเหนียวทนทานเมื่อนำไปเล่น ในฤดูหนาวอากาศเย็นจัดน้ำในแม่น้ำลดลง รากของต้นไคร้เป็นฝอยอุกอุย ปลากดตัวเหลืองๆ ไปนอนนิ่งใต้รากของต้นไคร้ เด็กๆ ใช้มือจับปลากดมาเป็นอาหารได้
ธรรมชาติมักสร้างสิ่งคู่กันไว้อย่างสมดุลเสมอ เช่น มีสายน้ำที่มีความเร็วจากความลาดชัน ก็มีพันธุ์ไม้ที่ช่วยชลอสายน้ำไว้ เพียงแต่มนุษย์พบเห็นและเข้าใจความเป็นจริงในธรรมชาติหรือไม่ ถ้าเข้าใจก็นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ถ้าไม่เข้าใจแล้วทำให้ธรรมชาติขาดสมดุล ก็อาจเกิดโทษได้เหมือนกัน เช่น การเกิดภาวะโลกร้อนในปัจจุบันนี้

นกกินเปี้ยวที่อู่ต่อเรือ



นกกินเปี้ยว(Collared Kingfisher) Todiramphus chloris ชื่อว่านกกินเปี้ยวฟังดูแล้วชื่อแปลกดีไหม ที่จริงแล้วนกกินเปี้ยวเป็นนกอยู่ในวงศ์นกกะเต็น (Kingfisher) นกในวงศ์นี้มีสีสันสดใสปากแหลมยาว ตัวป้อม ขาและหางสั้น กินปลาหรือสัตว์น้ำเป็นอาหาร บินได้รวดเร็ว กระพือปีกถี่ ๆ ได้บินตรงหรือทิ้งดิ่งได้ เช่นนกกะเต็นปักหลัก สำหรับนกกินเปี้ยวแล้วสีสันแตกต่างจากนกในวงศ์ไปบ้างคือด้านหลังและหัวเป็นสีฟ้าหรือฟ้าอมเขียว ท้องเป็นสีขาวที่เรียกนกกินเปี้ยวเพราะชอบกินปูเปี้ยวและปูก้ามดาบเป็นอาหาร ถิ่นอาศัยจึงเป็นบริเวณป่าชายเลนหรือริมตลิ่งของแหล่งน้ำ ในภาพนี้ถ่ายที่บริเวณอู่ต่อเรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช บ้านเสม็ดงาม อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี สงสัยกินเปี้ยวคู่นี้งอนกันหรือเปล่าหันหลังให้กันเสียแล้ว

อู่ต่อเรือกองทัพเรือกู้เอกราช




การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ หรือการบรรจุวิชาประวัติศาสตร์ให้อยู่ในหลักสูตร การเรียนรู้ นับเป็นความสำคัญยิ่งไม่ควรละทิ้งเพราะประวัติศาสตร์เป็นรากฐานของความเชื่อมั่นความทระนงที่ทำให้คนมีที่มา ที่ไป เริ่มจากการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชุมชน ประวัติของบุคคลสำคัญที่ทำความดีเป็นแบบอย่าง เช่น ความเก่ง ความกล้าหาญ ความเสียสละ ความรักชาติ สิ่งเหล่านี้ทำให้คนมีรากเหมือนต้นไม้ที่มีราก ถ้ามีรากแก้วยิ่งไม่ไหวเอน ชาติจึงมั่นคงอยู่ได้ ที่บ้านเสม็ดงาม อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี มีสถานที่สำคัญและเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ของชาติไทยคืออู่ต่อเรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในปี พ.ศ.2310 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชพร้อมขุนทหาร แม่ทัพ นายกอง ได้ใช้บริเวณคุ้งทะเลของบ้านเสม็ดงามแห่งนี้เป็นสถานที่ต่อเรือรบนับร้อยลำ เพื่อเป็นกองทัพเรือไปกู้ชาติในครั้งนั้นนับเป็นประวัติศาสตร์หน้าแรกหน้าเดียว ที่กองทัพเรือกู้เอกราชให้ชาติไทยได้สำเร็จร่องรอยที่มีอยู่ให้ชนรุ่นหลังตามรอยศึกษาคือซากเรือที่ต่อไม่เสร็จจมอยู่ในน้ำที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้และต้นตะเคียนยักษ์ยาวกว่า 34 เมตร ที่ยังไม่ได้ขุดทำเรือแต่ต้องรีบเดินทางก่อน ด้วยเวลาและโอกาสอำนวยแล้ว (ผ่านพ้นฤดูมรสุม) และพระองค์กู้ชาติได้สำเร็จ
ทุกประวัติศาสตร์มีคุณค่าให้เรียนรู้ศึกษาเพื่อจรรโลงเผ่าพันธุ์ความเป็นไท ของคนไทยสืบนานเท่านาน ทุกคนต้องศึกษาเรียนรู้

วันศุกร์, พฤษภาคม 01, 2552

ผ้าขาวม้าหรือผ้าฆ่าม้า


การลงไปในพื้นที่ได้พบปะพูดคุยกับชาวบ้านนับว่าเป็นผลดี ทำให้ได้รับรู้เรื่องราวบางอย่างที่ซ่อนอยู่ ซึ่งปกติธรรมดาเราไม่สามารถรู้ได้ บางเรื่องก็ดีมีประโยชน์ บางเรื่องก็โหดร้าย กรณีตัวอย่างเช่นเรื่องราวที่ “ครูอู๊ด”แห่งบ้านหนองชาดเล่าให้ฟังเกี่ยวกับม้าดังต่อไปนี้
ครูอู๊ด เล่าว่า ม้าเป็นสัตว์ที่มีสัญชาตญาณของการหลบหลีก เป็นสัญชาตญาณที่มีมาแต่กำเนิดของสัตว์ชนิดนี้ ชาวบ้านเมื่อจะฆ่าม้าแม้ผูกล่ามแล้วจะใช้ค้อนทุบก็ไม่สามารถจะทุบให้ตายได้ง่าย ๆ เพราะม้าจะหลบหัวไม่ให้โดนทุบ ชาวบ้านจึงนำผ้าขาวม้ามาผูกตาม้าเมื่อม้ามองไม่เห็น อวสานชีวิตจึงเกิดขึ้นกับม้าผู้น่าส่งสาร นับเป็นเรื่องจริงที่เศร้ามาก
ผ้าขาวม้ามีประโยชน์ต่อคนอย่างอเนกอนันต์ แต่กลับกลายเป็นโทษถึงชีวิตสำหรับม้าเพื่อนร่วมโลกของเรา “ผ้าขาวม้าจึงกลายเป็นผ้าฆ่าม้า” ไปได้

วันพฤหัสบดี, เมษายน 30, 2552

นกปีกลายสก๊อตในกรงทอง


ครูอู๊ดที่บ้านหนองชาด เล่าว่า “บ่ายวันหนึ่งหลังจากทั้งฝนทั้งลมที่พัดแรงผ่านไป กิ่งตันชาดหักลงมากองกับพื้นดิน มองเห็นรังนกและลูกนกปีกลายสก๊อต จำนวน 2 ตัวตกอยู่ ไม่เห็นแม่นกในบริเวณนั้น จึงได้นำลูกนกปีกลายสก๊อตทั้งสองตัวมาเลี้ยงโดยไปซื้ออาหารสำเร็จสำหรับนกขุนทองมาละลายน้ำแล้วป้อนให้ ลูกนกตัวหนึ่งไม่สามารถรอดชีวิตได้เพราะขาสองข้างผิดปกติอาจเป็นเพราะตกมากระแทกกับพื้นก็เป็นได้ อีกตัวหนึ่งรอดจึงเลี้ยงมาเรื่อย ๆ โดยหวังว่าถ้าโตแข็งแรง บินได้จะปล่อยไป ยิ่งเลี้ยงยิ่งน่ารักหัวโตกว่าตัว เลยตั้งชื่อว่า “ไอ้หัวโต” ไอ้หัวโตไม่ยอมบินปีกก็ไม่งอก หางก็ไม่งอก ได้แต่กระโดดไปมา นำออกมาจากกรงได้แต่กระโดดร้อง “แกก...แกก”แม้เวลาผ่านไปปีกว่าแล้ว คืนหนึ่งดึกแล้วไอ้หัวโตร้องเสียงดังลั่นขอความช่วยเหลือ จึงลงไปดูที่กรง ไอ้หัวโตเกือบตายขนกระจาย งูเขียวกำลังจะจัดการถ้าไม่ลงมาช่วยคงต้องเลี้ยงงูเขียวแทนไอ้หัวโตแล้ว”
สรุปว่าไอ้หัวโตปีกลายสก๊อตที่เห็นในภาพปรารถนาจะเป็นนกน้อยในกรงทองของครูอู๊ดจึงไม่ยอมงอกปีกงอกหาง ไม่คิดจะไปไหน อยู่ในกรงครูอู๊ดนี่แหละดีแล้ว

นกหัวขวานด่างอกลายจุด


“นกหัวขวานด่างอกลายจุด” Fulvous – breasted Woodpecker Dendrocopos macei

นกหัวขวานด่างอกลายจุด เพศผู้สังเกตที่ หัว ก้นสีแดงส้ม ขนาด 17-18 เซนติเมตร พบที่ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาขอนแก่น อำเภอบ้านไผ่ เวลา 9.10 น. วันที่ 27 เมษายน 2552 ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเล 195 เมตร หากินเดี่ยว พฤติกรรมเกาะแนบกิ่งด้านล่างแนบทั้งตัวและหาง ใช้ปากเจาะบริเวณกิ่งต้นแดงตามแนวท่อลำเลียงอาหาร เจาะ 4 รู เป็นแนว เจาะจนถึงแนวโพรงหนอน บางครั้งเกาะนิ่ง ๆ ใช้ปากแตะบริเวณกิ่งอยู่เฉย 3-5 นาที แล้วเริ่มเจาะตำแหน่งใหม่สันนิษฐานว่าที่เกาะเฉยๆเพื่อใช้ประสาทที่ปลายปากรับรู้การเคลื่อนที่ของหนอนในโพรง จากนั้นจึงเลือกเจาะตำแหน่งเป้าหมาย เช้าวันนั้นอุณหภูมิ 32.4 องศาเซลเซียส

คนรักม้า คนเลี้ยงม้าที่บ้านหนองชาด


ถ้าพูดถึงแก่งตะนะหรือเขื่อนปากมูลคนทั่วประเทศนึกออกได้ว่าอยู่จังหวัดอุบลราชธานี รู้ถึงความขัดแย้งของชุมชนเกี่ยวกับน้ำ เกี่ยวกับเขื่อน เกี่ยวกับวิถีชีวิตชาวประมงลุ่มน้ำมูล แต่เรื่องที่เขียนนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับครูคนหนึ่งที่รักม้า กลัวม้า แต่มาเป็นคนเลี้ยงม้าพันธุ์พื้นบ้าน ที่บ้านหนองชาด อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
ครูชูชาติ วารปรีดี ภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดลำปาง ด้วยวิถีของการเป็นข้าราชการ ทำให้ครูชูชาติมาอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี มามีชีวิตและครอบครัวที่นั่น เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว ครู ชูชาติเล่าว่า “เหตุแห่งการมาเป็นคนเลี้ยงม้าเกิดจากวันหนึ่งพาลูกชายตัวเล็กๆ ชื่อ“ปอบปูลา” เข้าไปในหมู่บ้านและรับรู้เรื่องราวว่า ม้าถูกฆ่าโดยใช้กระสอบคุมหัวแล้วใช้ค้อนทุบจนตายเพื่อนำไปทำลูกชิ้น ทั้งพ่อลูกสลดใจโดยเฉพาะปอบปูลา จากเหตุที่รับรู้ในวันนั้นครูชูชาติเริ่มคิด หากเหตุการณ์เป็นไปเช่นนี้ไม่ช้าม้าพันธุ์พื้นบ้านของจังหวัดอุบลราชธานีซึ่งเป็นสัตว์กู้ชาติต้องสูญพันธุ์แน่ ๆ ครูชูชาติจึงเริ่มต้นศึกษาเรียนรู้กับภูมิปัญญาภูมิรู้ท้องถิ่นเกี่ยวกับม้าทั้งที่ กลัว ๆ กล้า ๆ วันเวลาผ่านไปหลายปี ครูชูชาติได้ชักชวนชาวบ้านหนองชาดมาร่วมกันอนุรักษ์ม้าและก่อตั้งชมรมอนุรักษ์ม้าพันธุ์พื้นบ้านขึ้น เพื่อการเรียนรู้ เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ เพื่อการบำบัดเด็กพิเศษ ปัจจุบันชมรมมีม้าอยู่ กว่า 40 ตัว”
ครูชูชาติสรุปตอนท้ายของการพูดคุยว่า “ผมไม่ได้คิดอะไรมากเพียงแต่ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทำในสิ่งที่ควรทำ เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้เห็นคุณค่าของม้าพันธุ์พื้นบ้าน ซึ่งเป็นสัตว์ที่ร่วมกู้ชาติให้ประเทศเป็นไทถึงทุกวันนี้เท่านั้น”

วันศุกร์, เมษายน 24, 2552

ต้นหมากเม่าหรือจะสู้ยูคาได้











สมัยที่เป็นเด็กเรียนหนังสือชั้นประถมศึกษาอยู่ชนบทในภาคเหนือ ถึงเดือนพฤศจิกายน มีกิจกรรมลูกเสือเดินทางไกลเข้าค่ายพักแรม พวกเราเด็ก ๆ จะชอบมาก เพราะการเดินทางไกลต้องเดินผ่านป่าแพะ (ป่าเบญจพรรณ) ลูกเสือตัวเล็กจะแวะข้างทางเก็บลูกไม้ชนิดหนึ่งเม็ดเล็ก ๆ สีแดง ๆ ม่วง ๆ รสเปรี้ยวอมฝาดกินด้วยความอร่อย ลูกไม้ในดวงใจของพวกเรานั่นก็คือ “หมากเม่า” หรือ “มะเม่า” นั่นเอง
“หมากเม่า” ต้นไม้ป่าที่มีอยู่คู่ประเทศไทยเกือบทุกภาคเป็นพืชตระกูลเดียวกับต้นเบอร์รี่ ไม้ยืนต้นอายุยืนชนิดนี้ต้นโต ๆ อาจมีขนาดถึงสี่คนโอบ เมื่อโตเต็มที่สูงประมาณ 5-10 เมตร เริ่มออกดอกผลเมื่ออายุได้ 1-2 ปี ออกดอกคล้าย ๆ ยอดกะเพราแต่ละช่อดอกยาวประมาณ 1-2 นิ้ว เมื่อติดผล ผลจะแน่นติดกันเป็นสีเขียว และทยอยสุก จากสีแดง ๆ ไปถึงสีม่วงเข้ม หมากเม่าเป็น 7-ELEVEN ของนกในธรรมชาติ นกกินผลไม้เช่น นกปรอด รวมถึงกระรอก กระแต กินหมากเม่า หมากเม่านับว่ามีคุณค่าต่อธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
วันนี้มีโอกาสลงพื้นที่ อำเภอวัฒนานคร เจ้าหน้าที่ห้องสมุดประชาชนอำเภอ นำเดินผ่านป่ายูคา ป่าเศรษฐกิจ ป่าต้นกระดาษของบริษัททำกระดาษชื่อดังเขาแหละ ไปหัวไร่ปลายนาซึ่งเป็นสระน้ำเก่าแก่ที่พ่อแม่เขามอบไว้เป็นมรดกพร้อมที่ดิน
ป่าหัวไร่ปลายนาพื้นที่นิดเดียวเต็มไปด้วยพืชพันธุ์นับร้อยชนิด เช่น หมากเม่า พะยูง ไข่เน่า กะบก และที่ไม่รู้จักอีกมาก เขาพาไปดูต้นหมากเม่าและยกให้ 5-10 ต้นให้ขุดเอาเอง ขนาดสูงประมาณหนึ่งฟุตเพื่อนำไปปลูกไว้ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาสระแก้ว ไว้เป็นแหล่งอาหารของนกในอนาคตชดเชยต้นไม้ในธรรมชาติที่นับวันจะหายไปจากพื้นที่บริเวณนี้แล้ว
มาถึงบัดนี้มุมมองเกี่ยวกับต้นหมากเม่าที่เรามองเป็นมุมมองเล็ก ๆ ไม่น่าสนใจในสายตาของคนที่มองตนเองว่า เพื่อความอยู่รอด เพื่อความรุ่มรวยของเขา ลูกหลานจะเป็นอย่างไรก็ช่าง....มุมมองเช่นนั้น “ต้นหมากเม่าหรือจะสู้ยูคาได้”

วันพฤหัสบดี, เมษายน 23, 2552

ลดโลกร้อนได้เมื่อลดเผาป่าริมทาง


ใครก็ตามหากเป็นนักเดินทาง ภาพที่มักพบเห็นเสมอ ๆ คือภาพของป่าริมทางหรือหญ้าป่าพงริมทางถูกเผา จะโดยตั้งใจมุ่งหวังเพื่อกำจัดวัชพืชกำจัดป่าริมทาง หรือไม่ได้ตั้งใจเป็นอุบัติเหตุจากการทิ้งก้นบุหรี่ หรือจุดไฟด้วยวัตถุประสงค์ใด ๆ แล้วไม่ดับให้สนิทเป็นเหตุให้เกิดไฟไหม้ขึ้น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เกิดความสูญเสียหลาย ๆ อย่างทั้งสิ้น
ริมถนนสายสุวรรณศร หมายเลข 33 ที่เริ่มจากจังหวัดสระบุรี ผ่านนครนายก ปราจีนบุรี ไปอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ก็มีภาพการเผาป่าริมทางให้เห็นอยู่เนื่อง ๆ ดังเช่นภาพที่ปรากฏ
หากมาวิเคราะห์แยกแยะความสูญเสียจากการเผาป่าริมทางอาจพบความเสียหายได้หลายประการดังนี้
· ประการแรก ทรัพย์สินทางราชการเสียหายเช่น สายไฟฟ้า สายโทรศัพท์ เมื่อถูกไฟไหม้รัฐต้องนำเงินภาษีอากรของชาติมาใช้จ่ายแก้ไข โดยไม่ใช่เกิดจากเหตุอันควร อาจกล่าวได้ว่า เป็นการเสียซ้ำซ้อนคือ “ทรัพย์สินเสียหายแล้วยังต้องสูญเงินภาษีอากรอีกด้วย”
· ประการที่สอง สูญเสียโอกาสในการใช้ทรัพย์สินไปในช่วงเวลาซ่อมแซม เช่นสูญเสียการติดต่อสื่อสารในกรณี โทรศัพท์ หรือ ภาคธุรกิจภาคราชการ ไม่สามารถดำเนินกิจการในช่วงเวลาไฟฟ้าดับ ซึ่งบางครั้งอาจประเมินค่าความเสียหายไม่ได้ เป็นต้น
· ประการที่สาม การเผาป่าริมทางคือการเผาชีวิตทั้งพืชและสัตว์ในวงกว้าง ชนิดที่ขาดการควบคุม ไฟจะรุกไหม้ไปถึงไหน กี่ชีวิตที่สูญเสียมิได้คำนึงถึง ชีวิตบางชนิดอาจสูญพันธุ์ในเหตุการณ์ป่าริมทางถูกเผาในครั้งนั้นก็อาจเป็นได้
· ประการที่สี่ การเผาป่าริมทางมักลุกลามสู่บ้านเรือนที่อยู่อาศัย สวนผลไม้ไร่พืชผล ทำให้เกิดความสูญหายโดยผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินมิได้ปรารถนาให้เกิดขึ้น
· ประการที่ห้า การเผาไหม้ทำให้เกิดความร้อน เป็นความร้อนที่เพิ่มขึ้นให้กับโลกนี้ในทางตรง ในทางอ้อมการเผาไหม้ทำให้เกิดก๊าซคาบอนไดออกไซด์ ก๊าซคาบอนมอนนอกไซด์ เป็นเหตุให้เกิดภาวะเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศซึ่งเป็นตัวเร่งให้โลกร้อนผลกระทบที่เห็นชัดเจนที่สุดเมื่อภาวะโลกร้อนทำให้น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกละลาย ส่งผลให้น้ำในมหาสมุทรสูงขึ้น หากเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายในไม่กี่ปีน้ำทะเลจะรุกท่วมแผ่นดิน ในไม่ช้าเราอาจพบว่า จังหวัดสระแก้ว จังหวัดลพบุรี ถูกน้ำทะเลท่วมไปหมดแล้ว ไม่น่าเชื่อ...ถ้าไม่เกิดขึ้นจะดีไหม
· ประการที่หก.....
· ประการที่เจ็ด....
เรามาช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันหาวิธีการที่จะพิทักษ์ธรรมชาติรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อโลก เพื่อเรา

วันอาทิตย์, เมษายน 19, 2552

ลีลาวดีในสวนประดู่ป่า







ลีลาวดี เป็นชื่อไม้ดอกชนิดหนึ่ง ชื่อดั่งเดิมคือ “ ลั่นทม” ความเป็นมาของต้นลั่นทม
ดูซับซ้อนอาจกล่าวได้ว่าเป็นไม้ต้องห้ามในอดีต คนไทยสมัยก่อนจึงไม่นิยมปลูกด้วยความเชื่อต่างๆนาๆ เช่น ลั่นทมเป็นต้นไม้ที่ปลูกได้เฉพาะในวังหรือในวัดเท่านั้น ยางต้นลั่นทมเป็นพิษถ้าเข้าตา ตาอาจบอดได้ไม่ควรปลูกในบ้าน ลั่นทมเป็นต้นไม้ที่แสดงถึงความเศร้าโศกนิยมปลูกในสุสานของชาวต่างชาติ ด้วยความเชื่อดังกล่าว เราจึงเห็นลั่นทมต้นโตๆ อยู่ที่วัด อยู่ที่วัง เช่น วัดเขาวัง เกาะสีชัง
วัดภูเขาทอง อันที่จริงแล้วต้นลั่นทมโตๆ เป็นตัวแทนที่บอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ได้บ้างเหมือนกัน ลั่นทมดั่งเดิมไม่ใช่ไม้ดอกของไทยเรา แต่เป็นไม้ดอกที่ถูกนำมาจากต่างประเทศอาจจะโดยนักเดินทาง เช่นชาวโปรตุเกส ชาวอังกฤษ ชาวฝรั่งเศส หรือชาติอื่นๆ นำมาปลูกในช่วงการแสวงหาอาณานิคมก็เป็นได้ ลั่นทมเข้ามาในประเทศไทยที่มีบันทึกไว้ในช่วงเวลาสมัยรัชกาลที่ 5 ประมาณ 100 กว่าปีมาแล้วนำมาจากประเทศอินโดนีเซีย ที่ผ่านมาเคยพบต้นโตๆที่นครหลวงพระบาง ประเทศเพื่อนบ้าน เข้าใจเองว่าถูกปลูกสมัยฝรั่งเศสครอบครองคนลาวเรียกลั่นทมว่าดอกจำปา
ปัจจุบันนี้ ลีลาวดีนิยมปลูกในบ้าน ในสวน ในรีสอร์ท มีการนำเข้าพันธุ์ใหม่ๆจากต่างประเทศเพื่อการค้ามีหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งสีสันและกลิ่นที่หอมเย็น ที่ประดู่ป่าแคมป์ สวนข้างบ้านลีลาวดี กำลังออกดอกในช่วงเดือนเมษายน ส่งกลิ่นหอมเย็นๆ ไปทั่วสวน สวยงามเยือกเย็น ไม่ลึกลับซับซ้อนอีกต่อไป

ชายหาดแห่งกาลเวลา


ความเปลี่ยนแปลงและการเป็นไปของเหตุการณ์ต่างๆบนโลกเรา ในปัจจุบันสามารถรับรู้จากระบบการสื่อสารที่ทันสมัย ทั้งภาพและเสียง ผ่านโทรทัศน์ ผ่านระบบ Internet แน่นอนว่าภาพที่เห็นนั้นมีทั้งจริง มีทั้งเท็จ มีทั้งจริงบ้างเท็จบ้าง ทุกภาพที่ผ่านการสื่อสารออกไปย่อมกระทบอารมณ์ของผู้คน ภาพเดียวกันที่เห็นทุกคนก็คิดไม่เหมือนกัน ด้วยว่าแต่ละคนมีกระบวนทัศน์ (Paradigm) ของตนแตกต่างกัน บางคนชอบก็เชียร์ บางคนชังก็แช่ง บางคนรัก บางคนเกลียดบางคนสงสาร
เหมือนดั่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของประชาชนในประเทศไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2551-2552 มีการเรียกร้องความต้องการต่างๆ โดยใช้สีเสื้อเป็นเขตแบ่งมวลชน สีเหลืองบ้าง สีแดงบ้าง มีสี น้ำเงินเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นสีเสื้อใด ไม่ว่าความต้องการนั้นคืออะไร ไม่ว่าความประสงค์นั้นบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ไม่ว่าความสูญเสียนั้นจะมากน้อยเพียงใด กาลเวลาก็กลืนกินเหตุการณ์เรื่องราวนั้นๆไป
หากจะเปรียบเทียบความเป็นไปในโลกนี้เป็นชายหาดสักแห่งหนึ่งมี หิน ทราย กุ้ง หอย ปู ปลา แมงกะพรุน หอยเม่น เป็นเหตุการณ์ที่ปรากฏ เมื่อคลื่นกระทบฝั่งแต่ละครั้งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว มิได้จริงแท้แน่นอนจีรังยั่งยืน โลกจึงเหมือน “ ชายหาดแห่งกาลเวลา” นั้นเอง

วันพฤหัสบดี, เมษายน 09, 2552

ดอกกันเกรา



ที่อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก มีหมู่บ้านหนึ่งชื่อ “บ้านหนองกันเกรา” สันนิฐานว่าหมู่บ้านนี้เคยมีต้นกันเกราอยู่เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันถามถึงต้นกันเกราเด็กๆไม่รู้จัก ไม่เคยเห็น หากพูดคุยกับผู้สูงอายุพอบอกเล่าถึงต้นกันเกราได้บ้าง เช่น ไม้กันเกราเป็นไม้ที่มีเนื้อเหนียว นิยมนำมาทำดุมเกวียน ทำอุปกรณ์ที่เป็นส่วนประกอบของเกวียน ทำเสาบ้าน ปัจจุบันไม่มีต้นกันเกราแล้ว
เดือนนี้เป็นเดือนเมษายน กันเกราออกดอกสีเหลืองอ่อน กลิ่นหอมเบาๆ คุณค่าของไม้กันเกรา ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org ระบุว่า ต้นกันเกรามีชื่อเรียกอื่นว่า มันปลา ตำเสา เป็นไม้มงคล เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดนครพนม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Fagraea fragrans แก่นมีรสฝาด ใช้เข้ายาบำรุงธาตุ แน่นหน้าอก เปลือกใช้บำรุงโลหิต รักษาผิวหนังพุพอง
สรุปว่า เรารักต้นกันเกรา เรามาปลูกต้นกันเกราในวันที่ 22 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันต้นไม้แห่งชาติกันเถอะนะ

ของขวัญจากธรรมชาติ




ธรรมชาติทุกแห่งหนไม่ว่าจะเป็นป่าไม้ ภูผาหรือพื้นดิน ล้วนแล้วแต่เป็นแหล่งประทานของขวัญแก่มวลมนุษย์ทั้งสิ้น ของขวัญที่สำคัญและล้ำค่านั้นคือ “กล้วยไม้ป่า” กล้วยไม้ป่าเกือบทุกชนิดมีสีสันที่สวยงาม เบ่งบานทนนาน บางชนิดเกาะตามคาคบของต้นไม้ กิ่งไม้ บางชนิดเกาะชูช่ออยู่กับภูผา บางชนิดเกิดเป็นกล้วยไม้ดินในป่าพรุ ป่าน้ำซับ หลากหลายสายพันธุ์
ความนิยมเลี้ยงกล้วยไม้ป่าทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีการนำกล้วยไม้ป่าออกจากป่าจากผู้คน 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่ง เป็นชาวเขา ในภาคเหนือ นำออกมาพอประมาณจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยว หากจำหน่ายไม่หมดก็นำกล้วยไม้กลับไปเลี้ยงไว้กับต้นไม้ใกล้บ้าน แล้วนำมาขาย อีก กลุ่มที่สอง เป็นชาวเรา นำมาจากตะเข็บชายแดนในภาคอีสานและภาคอื่นๆ ขายเป็นกอง ๆ ขายไม่ได้ก็นำไปทิ้ง ที่สวนจตุจักรก็เคยเห็น..เรามาช่วยกันตั้งคำถามว่า ทำอย่างไรของขวัญอันล้ำค่าจากธรรมชาติคือกล้วยไม้ป่า จะยังคงอยู่คู่ป่าไม้ คู่ภูผาและพื้นดิน โดยมีผู้คนนำไปเลี้ยงเพื่อขยายพันธุ์ให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอยู่คู่ประเทศไทยคู่โลกตราบนานเท่านาน

ความเชื่อ




“คอปเตอร์” เป็นเด็กที่ชอบนอนสะดุ้งผวา เมื่ออายุได้ 7 เดือน พ่อของคอปเตอร์ได้ปรึกษาเพื่อนถึงวิธีแก้ปัญหาลูกไม่ให้นอนสะดุ้งผวา เพื่อนได้ให้เครื่องรางของขลังมาอย่างหนึ่งเรียกว่า “ปลัดขิก” พ่อนำมาร้อยเชือกผูกเอวให้คอปเตอร์ โดยเชื่อว่าลูกจะนอนไม่สะดุ้งผวา คอปเตอร์จึงมีปลัดขิกผูกเอวตั้งแต่บัดนั้นมา
เวลาผ่านไปปีนี้คอปเตอร์มีอายุเจ็ดขวบแล้ว คอปเตอร์ไม่เคยถอดปลัดขิกออกจากเอวเลย ปลัดขิกจึงเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายไปแล้ว
วันก่อนได้พูดคุยกับคอปเตอร์ ถามเขาว่า “หนูผูกปลัดขิกไว้ที่เอวทำไมนะ” คอปเตอร์ตอบว่า ผูกไว้แล้วหมาไม่กัด..งูก็ไม่ฉก..นกก็ไม่จิก..ปลอดภัยดีครับ
สรุปว่า ปลัดขิกอันเดียวกันพ่อกับลูกชายเชื่อไม่เหมือนกัน แปลกดีแฮ่...

วันพุธ, เมษายน 08, 2552

เส้นทางหรือลานประหาร

เช้าวันหนึ่ง อากาศสดใส จิตใจก็สงบนิ่ง ขับรถยนต์จากบ้านพักเพื่อไปทำงาน ขับไปได้ระยะหนึ่งพบเห็นซากสุนัขถูกรถชนตาย ตัวที่หนึ่ง ตัวที่สองไม่ห่างกันนัก ซากนกเอี้ยง.....ซากนกกะปูด ซากนกเขา ซากแมวสีขาวนอนตายลืมตาโพลงเห็นลูกตาข้างเดียว ซากงู.....นับชีวิตที่ดับดิ้นบนท้องถนนกว่าจะถึงที่ทำงานระยะทาง 150 กิโลเมตร นับจนลืมว่ามีกี่ชีวิตกันแน่ที่จากโลกนี้ไปแล้ว......

โอ้... ถนนที่บ่งบอกถึงความเจริญ ถนนที่ทำให้การเดินทางสะดวกสบาย รวดเร็ว ถนนของมนุษย์แต่ดูเหมือนว่า ถนนเป็นลานประหารเพื่อนมนุษย์ที่นับจำนวนไม่ถ้วน..... ช่วยคิดด้วยเถอะความตายถึงแม้จะเป็นเรื่องธรรมดา..... แต่ความเมตตาก็ควรมีอยู่ในใจของมนุษย์ทุกคนไม่ใช่รึ....

วันอังคาร, เมษายน 07, 2552

2522 ถึง 2552


เมื่อเจ็ดเมษายนสองพันห้าร้อยยี่สิบสอง เทพธิดาจุติ เป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ มีรหัสประจำตัวว่า “ ลูกหวาย” เธอเริ่มพูดและเดินได้เมื่ออายุประมาณ 8 เดือน ตัวเล็กแต่พัฒนาการดีเยี่ยมทุกอย่าง หาก พี่ ป้า น้า อา จะให้อะไรรับประทาน ก็จะถูกตั้งคำถามว่า “มีโปรตีนรึเปล่า” เป็นที่ฮากันประจำ เรื่องเรียนหนังสือก็ไม่ด้อยกว่าใครเลือกเรียนโปรแกรม Inter..... จบปริญญายังรักษาเกียรตินิยมไว้ได้อยู่

เธอท่องไปในโลกกว้างชดเชยความฝันของพ่อแม่ผู้ให้ชีวิต ยิ่งพบปะผู้คนมาก ยิ่งแกร่ง ยิ่งรอบรู้ ยิ่งฉลาด มาบัดนี้ถึงเวลาที่เธอจะออกเรือน ซึ่งก็น่าเหมาะสมด้วยวัย ยี่สิบเก้าแก่ ๆ แล้ว
“ลูกหวาย” เติบโตเป็นผู้ใหญ่ เส้นทางเดินของลูกชัดเจน มั่นคง ที่บ้านสวนเรามีหมาตัวน้อยๆ ลูกสาวชาวมอญเพิ่งอายุครบ 1 ขวบในวันเดียวกันคือเจ็ดเมษายน เธอมีรหัสว่า “แพร”หรือ“แพรพะยูง” เป็นเพื่อนแก้เหงาคนแก่เพลินดีเหมือนกัน

วันพฤหัสบดี, เมษายน 02, 2552

ดินถิ่นเกิด







"บ้านดิน"ทำด้วยดิน มีเหงื่อเป็นน้ำผสมลงในดิน มีการลงแขกแรงกายจากเพื่อนบ้านเป็นมิตรภาพสายสัมพันธ์ บ้านจึงร่มเย็นในฤดูร้อน อบอุ่นในฤดูหนาวและปลอดภัยในฤดูฝน บ้านดินเติมชีวิตที่พอเพียงให้กับคนทุกคนที่เห็นคุณค่าของ"ดิน"รู้รักดินถิ่นเกิด

วันอังคาร, มีนาคม 31, 2552

ปราสาทเขาน้อยสีชมพูครั้งที่สอง


ปราสาทเขาน้อยสีชมพู ในวันที่ 31 มีนาคม 2552 ดูสดใสแปลกตา ด้วยช่วงเวลานี้ต้นตะแบกผลัดใบมีดอกสีม่วงอ่อน ๆ บานอยู่เต็มต้นฟ้าเลยดูโปร่งใส พื้นดินรอบ ๆ บริเวณปราสาททั้งสามองค์ ชุ่มชื้น ฝนคงตกไปเมื่อวันวาน ปราสาทเขาน้อยสีชมพูตั้งอยู่บนภูเขาลูกเล็ก สูงจากระดับพื้นดินปกติไม่มาก สังเกตจากบันไดทางขึ้นนับก้าวแล้วประมาณ 100 กว่าขั้นเท่านั้น และเป็นบริเวณภูเขาที่อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ทำให้พบเห็นสัตว์ เช่น กระรอก , กระแต(ตัวเล็กๆคล้ายกระรอก) , ไก่ป่า , นกกะปูด , นกแซงแซวสีเทา , นกกางเขน
เมื่อเข้าไปกราบไหว้พระปรางค์ ทำให้นึกถึงคนสมัยโบราณที่สร้างปรางค์ปราสาท เขาทำได้วิจิตร ประณีต สวยงาม และตั้งใจจริง ๆ เหลี่ยมของอิฐ ความโค้งเว้ารูปทรงที่ปรากฏน่าประทับใจมากและเมื่อได้อ่านข้อมูลรายละเอียดประกอบ ปราสาทเขาน้อยแล้ว ทำให้ทราบว่าปราสาทเขาน้อยสีชมพู เป็นพุทธสถานที่ก่อสร้างราว พ.ศ. 1180 นับถึงปัจจุบันก็ 1370 กว่าปีมาแล้ว
ข้อมูลเพิ่มเติม ปราสาทเขาน้อยสีชมพู ตำบลคลองน้ำใส อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว

วันจันทร์, มีนาคม 30, 2552

ฐานดิน


คนทุกคนย่อมมีความใฝ่ฝันหรือมีเป้าหมายในการดำเนินชีวิตของตนเองใช่ไหม เมื่อสามสิบปีที่ผ่านมา เรามีความใฝ่ฝันต้องการเป็นข้าราชการเพื่อรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ความใฝ่ฝันนั้นไม่เคยทำให้เราเปลี่ยนเส้นทางเลยตลอดเวลาการทำงานสามสิบกว่าปี งานสิ่งใดที่เป็นโอกาสที่จะทำถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ อนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรม การบวชเพื่อถวายในโอกาสต่าง ๆ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมถึงการนำพาประชาชนศึกษาเรียนรู้แนวคิดทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง การพาประชาชน นักศึกษา ไปศึกษาแหล่งการเรียนรู้โครงการพัฒนาดินเปี้ยวอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่อำเภอบ้านนาและที่แห่งนี้แหละที่เป็นที่จุดประกายความคิดให้เราว่า หากวันใดเราได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา การพัฒนา “ฐานดิน” ให้เป็นฐานการเรียนรู้ต้องปรากฏ ณ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของประชาชนชาวไทยทุกคน

วันพฤหัสบดี, มีนาคม 26, 2552

ความงามของ"ลูกสะบ้า"


สัปดาห์ที่ผ่านมามีโอกาสไปศึกษาการเลี้ยงตัวอ้นที่ดอยมูเซอ ดูแล้วก็น่าสนใจดีแต่จะเขียนถึงการเลี้ยงตัวอ้นในโอกาสหลัง เรื่องที่จะเขียนวันนี้เป็นเรื่อง “ลูกสะบ้า” เพราะเม็ดลูกสะบ้าที่พบที่ตลาดชาวเขาดอยมูเซอมีความสวยงามมาก ชาวเขาชั่งกิโลขายกิโลกรัมละ 20 บาท ซื้อมาหนึ่งกิโลนับเม็ดสะบ้าได้ 53 เม็ด ชาวเขานำฝักสะบ้ามาขายด้วยฝักยาวประมาณหนึ่งเมตรแต่ไม่คอยสนใจฝักเท่าไร
เหตุที่สนใจลูกสะบ้าเพราะลูกสะบ้าดูแกร่งผิวเป็นมันวาว มีรูปทรงและขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ดูเป็นศิลปะดี มองลูกสะบ้าทำให้คิดถึงลูกสาวคนโตคนเดียว ดูลักษณะถ้าจะเปรียบเทียบเธอกับลูกสะบ้าพอใกล้เคียงกันแกร่งสวยดูดี อีกประเด็นหนึ่งลูกสะบ้ายังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เล่นช่วงประเพณีสงกรานต์ในกลุ่มคนหลายชาติเช่น มอญ หรือคนไทยในภาคต่าง ๆ หากสนใจว่าเล่นสะบ้าเล่นอย่างไรให้เข้าไปดูใน Website http://www.prapayneethai.com/ ลูกสะบ้าเป็นเม็ดพืชจากฝักเถาไม้เลื้อย ที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ก็มีอาจพบได้บริเวณทางเดินขึ้นไปบริเวณสนามกอล์ฟเก่าที่ปิดไปแล้ว เถาของลูกสะบ้าจะเลื้อยไปบนต้นไม้ใหญ่จึงดูเหมือนว่าสะบ้าเป็นต้นไม้ใหญ่ไปเลย

วันพุธ, มีนาคม 25, 2552

นกปรอดสวนที่บ้านสวน




ห้องน้ำที่บ้านสวนเป็นห้องน้ำที่ออกแบบสบาย ๆ ไม่มีหลังคา และยังปลูกต้นลีลาวดี (ลั่นทม) ไว้ในห้องน้ำอีกหนึ่งต้น บริเวณกิ่งของลีลาวดีเอากล้วยไม้ตระกูลหวายไปแขวนไว้ 1 กระถาง เมื่อเข้าห้องน้ำมองลีลาวดีบ้าง มองกล้วยไม้บ้างก็เพลินดี
มาระยะหนึ่งต้องไปทำงานต่างจังหวัดหนึ่งสัปดาห์จึงได้กลับไปบ้านสวนครั้งหนึ่ง เจ้านกปรอดสวน (Streak-eared Bulbul) กลัวบ้านจะเหงาเลยมาอยู่เป็นเพื่อนทำรังที่กระถางกล้วยไม้นั่นแหละ
สัปดาห์แรกแอบดูที่รังเห็นไข่สองฟอง กลับไปอีกสัปดาห์เป็นลูกนกแล้วแต่มีเพียง 1 ตัว สัปดาห์ที่สามนกปรอดสวน(Streak-eared Bulbul) ก็พาลูกน้อยออกท่องเที่ยวพเนจรแล้ว
มีคำถาม ถามตัวเองว่า ทำไมนกปรอดสวน(Streak-eared Bulbul) จึงมาทำรังอยู่ใกล้คน เป็นเพราะเจ้าของบ้านไม่ได้อยู่บ้านในช่วงเวลากลางวันใช่ไหม หรือว่าต้องการให้คนปกป้องรังและลูกน้อยของมันให้พ้นอันตรายจากสัตว์อื่น ๆ ปรอดสวนไม่ต้องตอบก็ได้นะ

วันอังคาร, มีนาคม 24, 2552

เจ็ดเมษายนของลูกสาวคนเดียว

พอใกล้เดือนเมษายนของทุกปี ความรู้สึกบอกว่าใกล้เข้าสู่ฤดูร้อน ใกล้ถึงวันสงกรานต์และเป็นช่วงเวลาปิดเทอมของนักเรียนทั้งหลาย คุณครูก็เหมือนได้พักหายใจซักหนึ่งเดือน เด็กๆนักเรียนช่วงปิดเทอมไปหาที่เรียนพิเศษกันในกรุงเทพ ไปพักหอพักบ้างอยู่กับญาติบ้าง
ลูกหวายเป็นลูกสาวที่ช่วงเดือนเมษายนไม่ค่อยได้อยู่บ้านมาตลอดแม้ว่าในวันที่เจ็ดเมษายนจะเป็นวันคล้ายวันเกิดของเธอก็ตาม เกือบสามสิบปีมาแล้วที่ลูกหวายเร่ร่อนไปในที่ต่าง ๆ เมษาปีนี้ไปอยู่กับยาย เมษาปีนี้ไปเรียนพิเศษอยู่ที่กรุงเทพ เมษาปีนี้ไป Summer ที่ AUSTRALIA เมษาปีนี้ไปทุน AFS ที่ ITALY เมษาปีนี้ไปทำงานที่ซิดนีย์ สำหรับเมษายน สองพันห้าร้อยห้าสิบสอง เธอจะอยู่บ้านฉลองวันเกิดกับคุณพ่อ คุณแม่ น้องชายและใครอีกสักคนหนึ่ง เราจะไปดูหนังเรื่องก้านกล้วย 2 ด้วยกัน

วัดร่องขุ่นพุทธประติมากรรม


ที่จังหวัดเชียงรายมีประติมากรรมทางพุทธศาสนาแห่งหนึ่งที่ผู้คนหลั่งไหลไป เยี่ยมชมทั้งชาวไทย และจากชาวต่างประเทศ พุทธประติมากรรมแห่งนี้คือ “วัดร่องขุ่น” บุคคลผู้รังสรรค์วัดร่องขุ่นท่านเป็นศิลปินแห่งชาติคือ ท่านอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ศิลปินแห่งชาติชาวเหนือที่มีศิลปะหลุดพ้นกฎเกณฑ์หรืออาจกล่าวได้ว่า “ศิลปินแห่งจินตนาการ” เป็นจินตนาการที่เหนือกว่าความรู้ใด ๆ ภาพวัดร่องขุนที่ปรากฏจึงเป็นดั่งเทพนิยายบนสรวงสวรรค์ มีความโดดเด่น เบาพลิ้ว อ่อนไหว สงบนิ่ง สวยงามเหนือพรรณนา
ในหลายปีที่ผ่านมาท่านอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ไม่เคยหยุดการรังสรรค์ผลงานและท่านยังกล่าวไว้อีกด้วยว่า ในอนาคตลูกศิษย์ของท่านยังจะรังสรรค์ผลงานวัดร่องขุ่นต่อไปอีกสามรุ่น การกล่าวเช่นนี้เป็นการบอกให้ทราบว่า การที่ผู้คนหลั่งไหลมาเยี่ยมชมวัดร่องขุ่นนั้นเกิดจากวัดร่องขุ่นไม่หยุดการพัฒนา ศิลปะใหม่ ๆ จึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในลักษณะที่เรียกว่า พลวัต (Dynamics) เป็นดั่งพายุหมุนขยายอย่างไร้ขอบเขต ความสวยงามแห่งพระพุทธศาสนาจึงเผยแผ่กระจายไปทั่วโลกอย่างต่อเนื่องและอีกยาวนานชั่วนิจนิรันดร์

วันจันทร์, มีนาคม 23, 2552

สตรอเบอร์รี่กับใบตองตึง


ที่ดอยมูเซอ จังหวัดตาก มีชาวเขาปลูกต้นสตรอเบอร์รี่ไว้ตามเนินเขาลดหลั่นกัน สตรอเบอร์รี่ที่นี่ผลอาจไม่ใหญ่เหมือนที่ปลูกที่จังหวัดเชียงใหม่หรือเชียงรายแต่ผลก็ดูสวยงาม การปลูกสตรอเบอร์รี่ปลูกเป็นร่องและทำเหมือนขั้นบันได บริเวณโคนต้นสตรอเบอร์รี่ตลอดร่องที่ปลูก ชาวเขานำใบไม้ชนิดหนึ่งเรียกว่า “ใบตองตึง” ใบใหญ่มีลักษณะคล้ายใบสักมาคลุมดินไว้ด้วยวัตถุประสงค์คือรองรับผลสตรอเบอร์รี่ ทำให้ผลสตรอเบอร์รี่ดูสวยงามไม่สัมผัสกับพื้นดินและป้องกันไม่ให้มดกัดผลสตรอเบอร์รี่อีกด้วย
ภูมิปัญญาชาวเขาหรือภูมิปัญญาท้องถิ่นล้วนสั่งสมประสบการณ์เป็นภูมิรู้ การคาดเดาด้วยกระบวนทัศน์ (Paradigm) ของเราอาจทำไม่ได้ อาจผิดจากความเป็นจริงดั่งเช่นตัวอย่างใบตองตึงที่ชาวเขานำมาคลุมดินโคนต้นสตรอเบอร์รี่ มิใช่เพื่อป้องกันการระเหยของน้ำอย่างที่คิด แต่ความจริงแล้วเพื่อป้องกันมดกัดผลสตรอเบอร์รี่...ฉะนั้นการได้ซักถามสัมภาษณ์จากผู้รู้จริง ผู้ปฏิบัติจริงจึงเป็นคำตอบที่น่าจะถูกต้องที่สุด

ดอยมูเซอ


คนภาคเหนือเรียกภูเขาว่า “ดอย” ดอยมูเซอน่าจะมีความหมายเชิงปรากฏ คือมีชาวเขาเผ่ามูเซออยู่ที่บริเวณภูเขาแห่งนี้ ดอยมูเซออยู่จังหวัดตากตามเส้นทางไปอำเภอแม่สอด อยู่ห่างจากถนนสายเอเชียประมาณ 30 กิโลเมตร มนต์เสน่ห์ของดอยมูเซอ คือ ความสวยงามของภูเขาที่มีป่าไม้ไม้อุดมสมบูรณ์ บริเวณใดที่มีต้นงิ้วป่าออกดอก มักพบเห็นนกแซงแซวหงอนขน เป็นฝูง 6-7 ตัว บินเกาะโผกินแมลง และกินน้ำหวานจากดอกงิ้วอยู่ที่ต้นงิ้วป่า นกแซงแซวมีสีดำตัดกับดอกงิ้วสีแดงปนส้มดูสดใสเบิกบาน กลางวันอากาศเย็นสบาย ๆ กลางคืนอุณหภูมิประมาณ 15 องศาเซลเซียส อากาศหนาว ความเงียบสงบร่มเย็น กาลเวลาดูเหมือนจะช้าลง ผักสดๆเช่น มะระหวาน ยอดฟักแม้ว ผักกาด ปลอดสารพิษ มีให้รับประทาน ผู้คนที่ดอยมูเซอมีหลายเผ่าเช่น ลีซอ มูเซอดำ มูเซอแดง แต่ละชนเผ่าต่างก็ใช้ภาษาของตน ฟังและพูดภาษาของกันและกันไม่ได้ เด็ก ๆ เยาวชนได้เรียนหนังสือ ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาสื่อสารถึงกัน ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขไม่ทะเลาะวิวาทไม่แบ่งสีเสื้อ สีแดง สีเหลือง ต่างเผ่าเป็นเพื่อนกันได้ ภาพที่เห็นนี้(ถ่ายหน้าร้านขายของตลาดชาวเขาดอยมูเซอ)ซ้ายมือเป็นมูเซอ ขวามือเป็นสีซอเป็นเพื่อนกันเรียนจบมอต้นแล้วละ

วันอังคาร, มีนาคม 10, 2552

เกลียวคลื่นกับโขดหินที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า

“อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด ”ฟังชื่ออุทยานแล้วมีความรู้สึกว่าคงต้องลงทะเลไปเกาะไกล ๆแน่ แต่ความเป็นจริงแล้วที่ตั้งอุทยานอยู่ชายฝั่ง เป็นหาดมีแหลมเล็ก ๆ ยื่นลงไปในทะเลบริเวณหาดแม่รำพึง อำเภอเมือง จังหวัดระยองนี่เอง
ลักษณะเด่นของอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้าคือมีธรรมชาติทั้งทะเลและป่าไม้บนภูเขาอยู่ด้วยกัน ถึงจะเป็นป่าขนาดจิ๋วแต่ก็ทำให้เราสามารถศึกษาชีวิตของนกป่าเช่น นกขี้เถ้าใหญ่ นกแซงแซวสีเทา นกตีทองได้ ส่วนชายหาดทรายและเกาะแก่งหินมีสิ่งมีชีวิตหลากหลาย ตัวอย่างเช่น ปะการังเห็ดหูหนู ปลาดาว ปลิงทะเล ปู กุ้ง หอย ปลา และอื่นๆ
สรุปว่า หากต้องการเรียนรู้โดยกลุ่มผู้เรียนมีขนาดไม่มากนัก อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ดเหมาะสมดีนะ

วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 27, 2552

โรงเรียนกาสรกสิวิทย์ ความฝันอันยิ่งใหญ่เรียกร้องวิถีไทยกลับคืน


โรงเรียนกาสรกสิวิทย์ (สอนกระบือไถนา)
ความฝันอันยิ่งใหญ่เรียกร้องวิถีไทย วิถีบรรพบุรุษให้กลับคืน
______________________

เช้าวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552 อากาศที่จังหวัดสระแก้วสดใส ยังไม่เริ่มร้อนซึ่งโดยปกติแล้วอุณหภูมิอาจสูงถึง 38 องศาเซลเซียสในบางวัน ณ บริเวณโรงเรียนกาสรกสิวิทย์ มีกลุ่มคนจำนวนมากเร่งงานอย่างต่อเนื่อง ด้วยมีหมายกำหนดการสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จเปิดโรงเรียนกาสรกสิวิทย์ ในวันอังคารที่ 10 มีนาคม 2552 นี้
ที่โรงเรียนสอนกระบือให้ไถนา มีอะไรน่าสนใจและเป็นองค์ความรู้บ้าง คงเริ่มลำดับจากการสัมภาษณ์พูดคุยกับ นายบัญชาทรัพย์ ปรีวิลัย ชาวสกลนคร ซึ่งเป็นครูสอนกระบือให้ไถนาที่อยู่ที่นี่ กล่าวว่า “ปัจจุบันมีกระบือทั้งหมด 26 ตัว เป็นกระบือที่มีผู้นำมาถวายแด่สมเด็จพระเทพฯ จำนวน 14 ตัว เมื่อปีที่แล้ว กระบือทั้ง 14 ตัวนั้นมาจากจังหวัดขอนแก่น สุรินทร์ นครพนม สกลนครและลพบุรี โดยมีตัวผู้ที่คุมฝูงเป็นกระบือจากจังหวัดขอนแก่น ผ่านมาหนึ่งปี ออกลูกอีก 12 ตัว มีทั้งตัวผู้ ตัวเมีย กระบือทั้งหมดจะไม่ดุ สอนให้คุ้นกับคนได้ กระบือนั้นจะเลี้ยงให้เป็นอย่างไรก็ได้ เขาน่ารัก” จากนั้นบัญชาทรัพย์ก็ไปจูงลูกกระบือตัวผู้มาตัวหนึ่งเดินมาหา และบอกลูกกระบือว่า “ทำความเคารพซิลูก” ลูกกระบือคุกเข่าหน้าลงทั้งคู่น่ารักมาก สิ่งที่ได้พูดคุยกับ บัญชาทรัพย์ แม้จะเป็นเวลาสั้น ๆ ก็รู้สึกประทับใจมาก
ได้เดินดูไปโดยรอบบริเวณโรงเรียนกาสรกสิวิทย์ พบว่าแต่ละสิ่งที่ปรากฏ ล้วนแล้วแต่เป็นองค์ความรู้ทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น การปลูกแฝกเพื่อยึดเกาะป้องกันการพังทลายของดินริมสระน้ำ การใช้กังหันลมเป็นระหัดวิดน้ำ การทำบ้านด้วยดินเหนียว การมุงหญ้าคาโดยไม่ต้องทำเป็นตับ การทดลองพันธุ์ข้าวทั้งของสุพรรณบุรี ปทุมธานี สกลนคร การปลูกพืชอาหารสัตว์ การปลูกพืชปุ๋ยหมัก การทำแก๊สชีวภาพเพื่อการหุงต้มและผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับสูบน้ำ และอื่น ๆ อีกมากมายทุกเรื่องและทุกองค์ความรู้ที่ปรากฏ ณ โรงเรียนกาสรกสิวิทย์เป็นสิ่งที่หายไปจากวิถีไทย วิธีบรรพบุรุษมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ณ ที่แห่งนี้แหละ จะเป็นต้นแบบเพื่อเรียกร้องวิถีไทยวิถีบรรพบุรุษให้กลับคืน

วันพุธ, กุมภาพันธ์ 18, 2552

Milestone



ไมล์สโตน (Milestone) เป็นภาษาฝรั่งถ้าภาษาไทยหมายถึงหลักกิโลเมตรนั่นแหละ วันนี้ขอเขียนถึงหลักกิโลเมตรเพื่อเป็นอนุสรณ์ของชีวิตซักหน่อย ช่วงเวลาหนึ่งของการ รับราชการได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาสระแก้ว รับผิดชอบพื้นที่ 9 จังหวัดในภาคตะวันออก ได้แก่ นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด สถานศึกษาแห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนหมายเลข 33 ถนนสุวรรณศร ตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงคือกรุงเทพมหานครระยะทาง 255 กิโลเมตร ตั้งห่างจากอำเภอวัฒนานคร 22 กิโลเมตรและห่างจากชายแดนประเทศกัมพูชาที่อำเภออรัญประเทศ 44 กิโลเมตร หลักกิโลเมตรหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาสระแก้วจึงมีความพิเศษคือเป็นหลักกิโลเมตรที่มี ตัวเลข 22 , 33 , 44 , 55 อยู่ในหลักเดียวกัน
Milestone หลักนี้นอกจากจะมีความหมายเป็นหลักกิโลเมตรในการบอกระยะทางตามถนนแล้ว ยังเป็นหลักที่บอกเหตุการณ์สำคัญในชีวิตช่วงหนึ่งของเราอีกด้วยนะ

วันอังคาร, กุมภาพันธ์ 17, 2552

ชะมวงกวางกับหม้อข้าวหม้อแกงลิง



เดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ มีโอกาสไปศึกษาต้นไม้ พรรณไม้ที่สวนพฤกษศาสตร์สากลภาคใต้ (ทุ่งค่าย) อำเภอเมือง จังหวัดตรัง เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติแม้จะเป็นช่วงปลายฤดูหนาวใบไม้ร่วงแต่ที่ทุ่งค่ายยังมีเสน่ห์ของต้นไม้ใหญ่ ๆ เช่น เคี่ยม มังตาน ไม้เล็กเช่น ระกำ ลุมพี และชะมวงกวาง รวมไปถึง หม้อข้าวหม้อแกงลิง ซึ่งชอบพื้นที่ป่าพรุ จากต้นไม้ที่พบ แสดงว่าทุ่งค่ายเป็นพื้นที่ป่า 2 ประเภทคือ ป่าดิบ และป่าพรุอยู่ด้วยกัน เดินศึกษาธรรมชาติไปถึงบริเวณหอคอยเหล็กสูง ๆ เชื่อมต่อกันด้วยสริงมีทางเดินเป็นแผ่นเหล็ก ความสูงตั้งแต่ 10-30 เมตร เดินขึ้นไปศึกษาทีละชั้น สวยงามมากความรู้สึกเมื่อเราได้เดินอยู่บนยอดไม้มุมมองเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเป็นมุมมองที่ฝรั่งเรียก “Bird Eye View” จินตนาการและความคิดก็เปลี่ยนไปด้วย
เมื่อกลับออกมาบริเวณทางเข้าสวนพฤกษศาสตร์ได้พบผู้รู้ท่านหนึ่งชื่อ คุณมาโนช วงษ์สุรีย์รัตน์ ท่านอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างต้นไม้ 2 ชนิด คือ ต้นชะมวงกวาง และต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง ความว่า “ต้นชะมวงกวางเป็นไม้ลำต้นตรง ปลวกไม่กิน ชาวบ้านชอบตัดไปทำรั้ว ทำกรงไก่ กรงเป็ด ชะมวงกวางมันตายกับความดีของมันนั่นแหละ ผมพยายามศึกษาเพื่อขยายพันธุ์ กลับพบความสัมพันธ์ระหว่างชะมวงกวางกับต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง มีความสัมพันธ์อย่างมาก ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงอิงแอบชะมวงกวางและเจริญเติบโตได้ดีหากขาดชะมวงกวางหม้อข้าวหม้อแกงลิงจะเฉาไม่เติบโต ผมกำลังศึกษาลึกๆ อีกต่อไปครับ”
สรุปว่า ยังมีคนดีดี... ที่ใส่ใจศึกษาถึงความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตบนโลกเรา เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปเปิดโอกาสให้สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นดำรงเผ่าพันธุ์เป็นเพื่อนร่วมโลกอยู่กับมนุษย์ตลอดไป

วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 16, 2552

ฤๅกาเหว่าจะสูญพันธุ์

หากใครก็ตามถูกเรียกว่า “ผู้สูงอายุ” จะคุ้นเคยกับเพลงของนักร้องยุคเก่า ที่ชื่อ “ทูล ทองใจ” เนื้อเพลงท่อนหนึ่งว่า “เสียงดุเหว่าแว่วมาเหมือนเตือนให้สองเราผวาจากกัน ..”คนโบราณเรียกนกกาเหว่าว่า “ดุเหว่า” เป็นเวลากว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาได้เฝ้ามองพฤติกรรมของนกต่าง ๆ ในสวนซึ่งมีเนื้อที่กว่า 13 ไร่ เช่น นกเอี้ยงสาริกา นกกิ้งโครง นกกาเหว่า ว่าเขาอยู่และสัมพันธ์กันอย่างไร ประเด็นที่พบและน่าสนใจคือ ในหนึ่งปี มีลูกนกกาเหว่าเกิดในสวน 2 ชุด จำนวน 4 ตัว ชุดแรกเป็นตัวผู้ 1 ตัว (สีดำ) ตัวเมีย 1 ตัว (สีน้ำตาลดำ) และชุดที่ 2 ก็เหมือนชุดแรก พฤติกรรมของพ่อแม่กาเหว่าในฤดูผสมพันธุ์มีตัวผู้หลายตัวบินไล่ตามตัวเมียเพื่อผสมพันธุ์ ตัวเมียบินโฉบไปมา จากนั้นตัวเมียมักเกาะซุ่มซ่อนอยู่ตามต้นไม้ใกล้บริเวณ ที่นกเอี้ยงสาริกา หรือนกกิ้งโครงทำรังอยู่ พฤติกรรมต่อมาเห็นไม่ชัดเข้าใจว่าคงไปแอบไข่ในรังนกทั้ง 2 ชนิดที่กล่าวมา ภาพปรากฏอีกระยะหนึ่ง คือนกกิ้งโครงเลี้ยงลูกกาเหว่าตัวโต สอนให้บิน โดยมีพ่อและแม่ที่แท้จริงของกาเหว่ามาอยู่ใกล้ ๆนกกิ้งโครงพยายามเลี้ยงลูกคิดว่าเป็นลูกตน สุดท้ายพ่อแม่กาเหว่าก็พาลูกกาเหว่าทั้งสองชุด จากไป ธรรมชาติสร้างความประหลาดความฉงน ให้มนุษย์เสมอมีคำถามมากมาย เกี่ยวกับกาเหว่า เช่น
· ทำไมแม่กาเหว่าไม่ฟักไข่เองอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย
· หากขาดนกอื่นฟักไข่ให้กาเหว่าจะสูญพันธุ์หรือไม่ หรือกาเหว่าจะปรับพฤติกรรมไปอย่างไร
· ในความเป็นจริงของธรรมชาติแล้วทุกอย่างจะเกาะเกี่ยวสัมพันธ์เชื่อมโยงกันหรือไม่
ช่างมันเถอะฟังเพลงกล่อมลูกดีกว่านะ “เจ้ากาเหว่าเอย... ไข่ไว้ในรังให้แม่กาฟัก... แม่กาก็หลงรักคิดว่าลูกในอุทร... คาบเอาข้าวมาเผื่อคาบเอาเหยื่อมาป้อน...ถนอมไว้ในรังนอนป้อนเหยื่อให้ลูกกิน…..”

วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 06, 2552

ช้างเผือกในฝัน



นาฬิกาบอกเวลาตีสามสามสิบสามนาที เสียงกาเหว่าร้องดังมาแต่ไกล ตื่นมาพร้อมความฝันที่เป็นสุข...เป็นความฝันที่กลัวๆกล้าๆ เพราะฝันว่าได้มีโอกาสร่วมดูแลช้างเผือกของในหลวงช้างหนึ่ง ยังเป็นช้างเด็กมีความซุกซน ทำอะไรได้บ้างแต่ยังไม่เก่ง ขี้เล่น สนุกกับการทำกิจกรรมที่ผู้ดูแลให้ทำ ความที่เราเป็นคนกลัวช้างมาแต่เด็ก ในฝันก็เหมือนจริงคือกลัวๆกล้าๆ เมื่อตื่นขึ้นรู้สึกสนุกกับฝันดี... เพราะอยู่กับช้าง อยู่กับป่า อยู่กับน้ำตก ที่สวยงามด้วย
เช้าวันนี้ต้องเตรียมตัว เตรียมอุปกรณ์เดินทางไปราชการ ณ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน อำเภอท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อเป็นวิทยากรให้ความรู้กับครู กศน.ของจังหวัดฉะเชิงเทรา เรื่อง เทคนิคการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ของชุมชน และร่วมทีมวิทยากรนักสืบสายน้ำให้ความรู้กับนักศึกษา กศน. อบต. ในกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว….
เรื่องทั้งหมด ขอสรุปว่า คงคิดถึงงานมาก ความฝันและความจริงเกิดบูรณาการกัน ตัวเองจะต้องเดินทางเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขาอ่างฤาไน ซึ่งมีช้างจำนวนมาก.... เลยเก็บมาฝันเป็นเรื่องราวไปถึงช้างเผือกแน่ะ... อันที่จริงแล้ว “แม้ฝันก็ถือเป็นฝันแบบมีชั้นเชิง เพราะเป็นฝันที่มีจินตนาการใช่ไหม”

วันพฤหัสบดี, กุมภาพันธ์ 05, 2552

Designer


ดีไซน์เนอร์ (Designer) หากแปลเป็นภาษาไทย หมายถึง นักออกแบบ นักคิดค้น นักวางแผน หรือนักสร้างสรรค์ทำนองนั้น อาชีพทุกอาชีพจำเป็นต้องมี Designer จึงทำให้อาชีพนั้น ๆ มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างเช่นอาชีพตัดเย็บเสื้อผ้า อาชีพตัดผม ล้วนแล้วแต่มี Designer คอยสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ ให้วงการเสมอ ๆ
อาชีพนักการศึกษาเป็นอาชีพหนึ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีนักคิดค้น นักออกแบบ กิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งภาษาทางการศึกษาเรียกว่า “นวัตกรรมการเรียนรู้ ” เหตุด้วยโลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีองค์ความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงนั้น วงการศึกษาจึงต้องประยุกต์ บูรณาการปรับแต่งวิธีการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ให้เหมาะสมกลมกลืน ที่สำคัญการออกแบบต้องเข้าใจง่าย นำไปใช้ให้เกิดผลได้จริง เรียนรู้ได้จริงเป็นรูปธรรม ความยากง่ายให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายการเรียนรู้ก็จะเป็นธรรมชาติ ทุกคนมีความสุขกับการเรียนรู้นั้น
ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา ได้ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อมให้กับชุมชนเป็นรูปแบบง่าย ๆ สอดคล้องกับบริบทชุมชน เช่น กิจกรรมนักสืบสายน้ำ เน้นการดูแลสายน้ำ (สายเลือด สายชีวิต) โดยการศึกษาจากตัวชี้วัดความสะอาดจากชีวมวลที่มีอยู่ในน้ำได้แก่ หนอนน้ำ หอยเจดีย์ เป็นต้น หรือกิจกรรมนักสืบชายหาดเน้นการดูแลชายหาดริมทะเลโดยดูจากซากสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏอยู่บนชายหาดในช่วงเวลาน้ำลงต่ำสุด เป็นต้น
การออกแบบการเรียนรู้หรือการเป็น Designer จึงจำเป็นที่ควรมีอยู่ในหัวใจนักการศึกษาทุกคน เพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของชาติให้ดียิ่งขึ้น ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย