วันพุธ, สิงหาคม 24, 2554

ปะการังเทียม ทำที่หว้ากอไปลงทะเลที่สวี





ปะการังเทียม คืออะไร ปะการังเทียมคือบ้านปลอมๆของสัตว์เล็ก สัตว์น้อย สำหรับเป็นที่อยู่อาศัยในทะเล อาศัยหลบซ่อนตัว หาอาหารยามเยาว์วัย ปัจจุบันปะการังธรรมชาติถูกทำลายหรือเหลือน้อยทำให้สัตว์ทะเลเล็กๆที่เคยอาศัยหากินหลบซ่อนตัวไม่มีที่อาศัย มนุษย์จึงต้องช่วยสัตว์เล็กๆเหล่านั้นให้มีที่อาศัยโดยการทำปะการังเทียมขึ้นมา ปะการังเทียมอาจทำได้หลายแบบ จากวัสดุหลายอย่าง แน่นอนว่าวัสดุนั้นต้องหนักและไม่ถูกน้ำเค็มกัดกร่อนได้ โดยทั่วไปปะการังเทียมทำจากคอนกรีตล้วนที่เรียกว่า “มาลีนไทด์” เป็นคอนกรีตที่ไม่ถูกกัดเซาะจากน้ำเค็ม
ที่บริเวณหาดริมทะเล ใกล้อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีการหล่อปะการังเทียมนับ 2,000-3,000 แท่ง เพื่อเตรียมนำไปลงทะเล ที่อำเภอเมือง และอำเภอสวี จังหวัดชุมพร ในสิ้นปี พ.ศ. 2554 นี้
จากข้อมูล Website http://wikipedia.org กล่าวว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 ถึง พ.ศ. 2552 มีการทำปะการังเทียมไปแล้ว 362 แห่ง ในจังหวัด เพชรบุรี ชุมพร พังงา ปัตตานี นราธิวาส ตราด สุราษฎร์ธานี และผลจากการมีปะการังเทียม ทำให้ปลาหายากหลายชนิดในทะเลเพิ่มขึ้น ได้แก่ ปลาหมอทะเล ปลาช่อนทะเล และปลาดุกทะเลเป็นต้น
ภาพถ่ายประกอบจากกล้อง ผอ.สุชาติ มาลากรรณ์

วันศุกร์, สิงหาคม 19, 2554

หลักสูตรการแยกขยะ


สังคมไทย เดิมเป็นสังคมเกษตรกรรม ชีวิตส่วนใหญ่จึงอยู่กับพืชผลทางการเกษตร อยู่กับต้นไม้ อยู่กับป่า อยู่กับไร่นา สิ่งใดที่ไม่ใช้ สิ่งใดที่เหลือใช้ ทิ้งไว้ ก็สามารถย่อยสลายโดยธรรมชาติ หรือนำมาเผาเป็นถ่าน เป็นเชื้อเพลิงได้ เราจึงไม่เห็นว่าอะไรเป็นขยะทิ้งไว้เลย
ปัจจุบัน สังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ตามกระแสโลกาภิวัตน์ จากสังคมเกษตรกรรมกลายเป็นสังคมกึ่งอุตสาหกรรม มีผลิตภัณฑ์มากมาย เกิดจากการสังเคราะห์ที่ซับซ้อน การย่อยสลายทำได้ยาก ใช้เวลามากในการสลาย(อาจเป็นร้อยเป็นพันปี) ใช้พลังงานมากในการทำลาย ขยะจึงเพิ่มพูนขึ้น ทุกหย่อมหญ้าทั่วประเทศไทย ปัญหาขยะเป็นปัญหาใหญ่มากๆที่ถูกมองข้าม ไม่ถูกจัดการอย่างเป็นระบบ ไม่มีการวางแผน
ประชาชน เยาวชน ในสังคมไทย ยังคงทิ้งขยะไม่เลือกสถานที่ ไม่มีนิสัยรักความสะอาด ไม่ตระหนักรู้ว่า ปัญหาขยะเป็นเรื่องใหญ่ ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ต้องบรรจุหลักสูตรการแยกขยะ การกำจัดขยะ การทิ้งขยะ การจัดการขยะ ในการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับ อนุบาลถึงระดับอุดมศึกษาของการศึกษาชาติ

วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 11, 2554

เห็นสมณะคือเห็นความสงบ



สมณะ คือใคร ? และใครจึงเรียกสมณะได้ ? พระไตรปิฎกบาลี ฉบับสยามรัฐ ขุทฺทกนิกาย ธมฺมปท เล่มที่ 25 ข้อที่ 29 หน้าที่ 50 กล่าวถึงสมณะความว่า “ คนเราไม่ใช่จะเป็นสมณะเพราะหัวโล้น คนที่ไม่ทำกิจวัตร มีแต่พูดพล่อยๆ มีความริษยากัน เป็นคนละโมบ จะจัดเป็นสมณะได้อย่างไร คนที่เราตถาคตเรียกว่าสมณะนั้น จะต้องเป็นผู้ระงับจากการทำบาปน้อยใหญ่เสีย ” จากพุทธพจน์ดังกล่าว สมณะจึงเป็นบรรพชิตแน่ แต่บรรพชิตรูปใดไม่ทำกิจวัตรย่อมไม่ใช่สมณะ เพราะสมณะ แปลว่า ผู้สงบ ซึ่งหมายถึงบรรพชิตที่ได้บำเพ็ญสมณธรรมฝึกฝนตนเองด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา มาแล้วอย่างเต็มที่ จนกระทั้งมี กาย วาจา ใจ สงบแล้วจากบาป
ฉะนั้นสมณะจึงเป็นมาตรฐานความประพฤติของชาวโลกทั้งหลาย
เรียบเรียง จาก มงคลชีวิตที่ 29 เห็นสมณะ (ฐานวุฑฺโฒฺ ภิกฺขุ )

วันพุธ, สิงหาคม 10, 2554

คนธรรมดาก็บำเพ็ญตบะได้




เมื่อกิเลสจับ เราไม่เห็นตัวกิเลสหรอก เห็นเพียงอาการของกิเลส เช่น ฟุ้งซ่าน ท้อถอย ซึมเศร้า รำคาญ ง่วงเหงาฯลฯ ทำให้รู้สึกเป็นทุกข์ หม่นหมองใจ ลองมาดูวิธีทำความเข้าใจกับการแก้ไขกิเลสทุกข์เหล่านี้ ตามวิธีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เรียกว่า “อินทรียสังวร ” ดูนะ อินทรียสังวร เป็นการสำรวมอินทรีย์โดยอาศัยสติเป็นตัวกำกับ อินทรีย์ทั้งหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “อายตนะภายใน”นั่นเอง พระพุทธองค์เปรียบเทียบอินทรีย์ทั้งหกไว้ดังนี้ ตา คนเราเหมือนงู (ชอบลึกลับซับซ้อน) หู คนเราเหมือนจระเข้ (ชอบที่เย็น) จมูก คนเราเหมือนนก (ชอบตามกลิ่น) ลิ้น คนเราเหมือนหมาบ้าน (ชอบหากินของอร่อย) กาย คนเราเหมือนหมาป่า(ชอบที่อุ่น) ใจ คนเราเหมือนลิง(ไม่นิ่งชอบซุกซน)
เมื่อรู้ธรรมชาติของอินทรีย์ทั้งหกเป็นเช่นนี้ การระวังอินทรีย์โดยใช้สติเข้ากำกับ จึงควรเป็นดังนี้ “อะไรไม่ควรดูก็อย่าดู อะไรไม่ควรฟังก็อย่าฟัง อะไรไม่ควรดมก็อย่าดม อะไรไม่ควรชิมก็อย่าชิม อะไรไม่ควรสัมผัสก็อย่าสัมผัส อะไรไม่ควรคิดก็อย่าคิด ” หากละได้บุคคลผู้นั้นย่อมถือว่าเป็นบุคลผู้บำเพ็ญตบะ(ทำให้ร้อน) เพื่อกำจัดกิเลสทุกข์ได้ในระดับหนึ่งแล้ว
เรียบเรียง จากมงคลชีวิตที่ 31 บำเพ็ญตบะ (ฐานวุฑฺโฒ ภิกฺขุ)

วันอังคาร, สิงหาคม 09, 2554

เพื่อนร่วมทาง






หลายปีที่ผ่านมา (5 ปีแล้ว) ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตการรับราชการ ด้วยบทบาทหน้าที่ พื้นที่ความรับผิดชอบ สถานภาพที่มีต่อองค์กรที่เปลี่ยนไป ทำให้การเดินทางเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจกล่าวได้ว่าเกือบจะเดินทางไปทุกจังหวัดของประเทศไทยก็ว่าได้ บางครั้งเดินทางโดยเครื่องบิน บางครั้งเดินทางโดยรถไฟ บางครั้งเดินทางโดยเรือออกทะเลไปเกาะแก่ง แต่ส่วนใหญ่เดินทางโดยรถยนต์ การเดินทางโดยรถยนต์มีเพื่อนร่วมเดินทาง ที่ต้องบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ของชีวิตดังนี้
เพื่อนลำดับแรก รถยนต์ ISUZU 2 ตอนสีขาว มีรอก ขนาด 4 ตัน อยู่หน้ารถ เคยใช้งานไป 1 ครั้งแล้ว
เพื่อนที่สอง แผนที่เดินทาง 1 เล่ม แม้ว่ารถยนต์จะติดตั้งระบบนำทางแล้ว แผนที่ก็ยังจำเป็น ด้วยเหตุผลผู้ใช้แก่เกินกว่าจะใช้ Hi-TECH ได้สมบูรณ์
เพื่อนที่สาม นาฬิกาข้อมือ CASIO PROTREX ที่บอกทิศทาง บอกความสูงจากระดับน้ำทะเล บอกอุณหภูมิ ความกดอากาศ และอื่นๆ 1 เรือน
เพื่อนที่สี่ กล้องส่องทางไกล OLYMPUS 8 x 42 EXWP I พร้อมกล้องถ่ายรูป OLYMPUS SMART 5 x WIDE
เพื่อนที่ห้า ยาธาตุ 4 ตรากิเลนขวดใหญ่ ประจำอยู่หลังเบาะนั่งเสมอ ยังมีเพื่อนอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ปากกา สมุดบันทึก ไฟฉาย กาแฟ แอมฟี่ของ AMWAY โทรศัพท์ขาดไม่ได้เลย แว่นตา แปรงสีฟันยาสีฟัน เอาเป็นว่าพอเดินทางเหมือนย้ายบ้านนั่นแหละ
เพื่อนสุดท้าย คือ พนักงานขับรถ คุณประไพ ตัวดำฟันหลอ ชอบกินเม็ดอม Copiko ฟันเลยผุไม่ยอมอุด เขาบอกว่าเก็บไว้เป็นที่ระลึก จบบันทึกเพื่อนเดินทาง

วันจันทร์, สิงหาคม 08, 2554

ความทรงจำที่ 2 เขาแหลมหญ้า – เกาะเสม็ด







เดือนสิงหาคมปี 2554 ด้วยมีราชการต้องไปจังหวัดระยอง พอมีเวลาในตอนเช้า จึงใช้เวลาว่างประมาณ 2 ชั่วโมงเพื่อเดิน Trail ของอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า ระยะทางสั้นประมาณหนึ่งกิโลเมตร เริ่มต้นเดินที่ระดับความสูง 125 เมตรจากระดับน้ำทะเล เดินอ้อมเขาแหลมหญ้าขึ้นไปสูงประมาณ 160 เมตรไปสิ้นสุดที่แหลมหญ้าความสูงประมาณจุดเริ่มต้น ที่บริเวณแหลมก็มีแต่หญ้าจริงๆ เพราะเป็นหินผุไม่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเลย จึงเป็นที่มาของชื่ออุทยานแห่งชาติแห่งนี้
แม้เส้นทางสั้น แต่ความทรงจำคงแสนยาว ด้วยดื่มด่ำกับอากาศที่บริสุทธิ์ กระแสลมที่พัดกระทบทั่วขุมขน เสียงคลื่นสาดซัดริมฝั่งดังก้องกังวาน ตรงออกไปในทะเล มองเห็นเกาะเสม็ดอยู่ไม่ไกล (นั่งเรือประมาณ 15 นาที) เขาแหลมหญ้าจึงผนวกกับเกาะเสม็ดเป็นอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า – เกาะเสม็ด อุทยานแห่งชาติทางทะเลที่สวยงามแห่งหนึ่งของจังหวัดระยอง

วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 04, 2554

ต้นมะเดื่อที่ท่าน้ำ




เมื่อเริ่มโตจำความได้ก็เห็นต้นมะเดื่อที่ท่าน้ำต้นนี้แล้ว เวลาผ่านไปกว่า 50 ปี ต้นมะเดื่อยังอยู่ที่เดิม ต้นก็ดูเหมือนว่าไม่ได้โตขึ้นเท่าใด อาจเป็นเพราะตอนนั้นเป็นเด็กมองว่าต้นมะเดื่อต้นโตมาก ลูกก็ดกเต็มต้นมีทั้งสีเขียว สีแดง สุกส่งกลิ่นหอมฟุ้ง
เมื่อวันเวลาผ่านไป เรื่องราวรอบๆต้นมะเดื่อก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เดิมทีแล้วแม่น้ำกว้างใหญ่น้ำไหลผ่านต้นมะเดื่อตลอดปี มีท่อนซุงถูกตัดลอยเป็นแพกลางแม่น้ำ บางคุ้งน้ำลึกช้างลงไปอาบน้ำได้มิดตัว ช้างนับสิบเชือกอยู่บริเวณท่าน้ำ ควานช้างปีนต้นมะเดื่อใช้มีดลิดพวงมะเดื่อ เมื่อตกถึงพื้นช้างแบ่งกันกิน ช้างไม่แย่งอาหารกันเลย นี่เป็นภาพความทรงจำตอนเป็นเด็ก ปัจจุบัน (50 ปีผ่านปี) ท่าไม่มีน้ำ แม่น้ำตื่นเขิน ช้างหายไปจากความทรงจำของผู้คน เด็กๆบอกว่าไม่เคยเห็นช้างเดินผ่านมาเลย ต้นมะเดื่อยังอยู่ที่เดิม แต่มีผู้คนนำศาลเพียงตาหลายศาล มาตั้งไว้โคนต้น บทบาทของต้นมะเดื่อจึงเปลี่ยนไป จากเดิมเคยเป็นต้นไม้ที่เป็นอาหารของช้าง กลายเป็นที่อยู่ของวิญญาณเร่ร่อน ที่มนุษย์ยัดเยียดให้อยู่โคนต้นมะเดื่อต้นนี้

วันพุธ, สิงหาคม 03, 2554

ตลาดเช้าชนบทของคนภาคเหนือ






แม้พื้นที่เป็นเพียงตรอกซอกเล็กๆ ก็เป็นตลาดเช้าเพื่อขายสินค้าจำเป็นในการดำรงชีพของคนชนบทในภาคเหนือได้ ภาพแม่ค้าตั้งกระบุงวางสินค้าอยู่สองข้างตรอก ช่องระหว่างกลาง อนุญาตให้มีคนเดินได้พอสวนทางกันแบบเบียดๆ หน่อย เมื่อก้มลงซื้อของก้นก็โด่ง ทางภาคใต้จึงเรียกตลาดประเภทนี้ว่า “ตลาดโก้งโค้ง” หมายถึงเมื่อซื้อของก็ต้องโก้งโค้ง ชื่อตลาดก็น่ารักไปอีกแบบหนึ่ง
สินค้าที่วางขายได้แก่ แมลงทอดใส่ถาดเล็กๆ รังต่อ พร้อมพริก มะเขือ เพื่อนำมาทำน้ำพริกต่อ ถุงพลาสติกใส่ปลาดุกตัวเล็กปากถุงมีท่อทำจากต้นอ้อผูกไว้ด้วย เพื่อให้ปลาดุกมีอากาศหายใจ วิถีชีวิตในชนบทเรียบง่ายมีเหตุมีผลอยู่ในตัวของมันเอง เช่นถ้าซื้อรังต่อไปตำน้ำพริก ก็ซื้อพริกมะเขือตรงนี้เลย ปลาดุกถ้าขายไม่ได้ปลาก็ไม่ตายเพราะมีท่อหายใจไว้แล้ว
สรุปว่าหากจะทำอะไรซักอย่างหนึ่ง ทางที่ถูกต้องน่าจะมีธรรมเป็นคำตอบอยู่ในตัวของมันเอง เป็นคำตอบที่มีทั้งเหตุและผลให้คิดและไตร่ตรองได้

ชายสามโบสถ์





วันที่หนึ่งสิงหาคมสองพันห้าร้อยห้าสิบสี่ กลับไปบ้านภาคเหนือเพื่อทำบุญครบ 7 รอบให้แม่ แม่ผมขาวทั้งหัว แม่บอกว่า แม่จะไม่ย้อมผมอีกอายุ 84 ปีแล้ว ผมขาวเป็นเส้นไหม ดูแม่มีสุขภาพดี มีเพียงเข่าข้างขวาที่ต้องใช้สนับเข่าช่วยบ้างบางครั้ง
ตื่นตอนตีสี่คุยกับแม่และน้องๆ เกือบหกโมงเช้า เดินไปตลาดเช้า ระยะทางน่าจะไม่เกิน 400 เมตร แต่ต้องเดินผ่านวัดที่เคยบวชเมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว เห็นการบูรณะโบสถ์มหาอุตตม์ (โบสถ์ที่มีประตูเดียว) บูรณะได้ละเอียดสวยงามมาก ทั้งหลังคา หน้าบรรณ บันไดนาค รู้สึกปลื้มใจ คำนึงว่าโบสถ์สวยๆหลังนี้แหละเมื่อสี่สิบปีที่แล้วเราเคยเข้าพิธีบวช มีพระอุปัชฌาย์ พระกรรมวาจาจารย์และมีหมู่สงฆ์ห้อมล้อมเราอยู่ในโบสถ์หลังนี้ ผู้หญิงเข้าไปในโบสถ์มหาอุตตม์ไม่ได้เลย นั่นเป็นการบวชครั้งแรก
หลวงพ่อ ธัมมชโย สอนว่า เมื่อเราบวชทุกครั้งเราย่อมได้บุญทุกครั้ง ในชีวิตที่ผ่านมาจึงบวชพระไปสามครั้ง บวชเณรหกครั้ง การบวชคือการทำความดีให้ตัวเอง “ลูกผู้ชายมีโอกาสต้องบวชทดแทนคุณบิดา มารดาและเพื่อตัวของเราเอง”

วันศุกร์, กรกฎาคม 29, 2554

อัญชลี – วันทา – อภิวาท





การกราบพระเพื่อระลึกถึงคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีคุณสูงสุดต่อการดำเนินชีวิตที่ไม่ประมาทของเรา คือการกราบซึ่งประกอบด้วยองค์ 5 ได้แก่ หัวเข่า 2 ฝ่ามือ 2 และหน้าผาก 1 จรดลงบนพื้น ที่เรียกว่า “เบญจางคประดิษฐ์” โดยเริ่มต้น ด้วยการนั่งคุกเข่า ยกมือขึ้นประนมระหว่างอก ที่เรียกว่า “อัญชลี” จากนั้นยกมือประนมขึ้นจรดหน้าผากหัวแม่มือทั้งสองอยู่ระหว่างคิ้ว ที่เรียกว่า “วันทา” มอบกราบลงให้หน้าผากจรดพื้นวางฝ่ามือแบราบห่างกันหนึ่งฝ่ามือ ก้มศีรษะลงให้หน้าผากจรดพื้นระหว่างฝ่ามือทั้งสองข้าง ที่เรียกว่า “อภิวาท” เมื่อครบองค์ประกอบ 5 คือ เข่า 2 ฝ่ามือ 2 หน้าผาก 1 จึงเป็นการกราบเพื่อระลึกถึงคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงสุด คือการกราบแบบ “เบญจางคประดิษฐ์” นั่นเอง.
อ้างอิง เรียบเรียงจาก หนังสือสวดมนต์ ฉบับพุทธบริษัท 4 วัดพระธรรมกาย

วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 28, 2554

ไม่รักไม่โศก



พุทธพจน์ จากพระไตรปิฎกบาลี ฉบับสยามรัฐ ขุทฺทกนิกาย อุทาน เล่มที่ 25 ข้อที่ 176 หน้า 225-226 ตอนหนึ่งความว่า “ความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ อันมากมายหลายอย่างนี้มีอยู่ในโลก ก็เพราะอาศัยสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รัก เมื่อไม่มีสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รัก ความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ เหล่านั้นย่อมไม่มี ผู้ใดไม่มีสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รักในโลกไหนๆ ผู้นั้นย่อมเป็นผู้มีความสุข ปราศจากความโศก เพราะเหตุนั้น ผู้ใดปรารถนาความไม่โศก อันปราศจากกิเลสดุจธุลีแล้ว ไม่พึงทำสัตว์หรือสังขารใดในโลกไหนๆ ให้เป็นที่รักเลย” ไม่รัก ไม่โศก เป็นดั่งพุทธพจน์เช่นนั้นแล. จากมงคลชีวิตที่ 36 จิตไม่โศก (ฐานวุฑฺโฒ ภิกฺขุ)

วันอังคาร, กรกฎาคม 26, 2554

ชัยกิจ น้องรัก.....ผู้จากไปชั่วนิรันดร์




เช้าวันที่ยี่สิบสี่กรกฎาคม ได้ยินเสียงแจ้งจากโทรศัพท์บอกกล่าวข่าวร้าย เหมือนมีไม้ฟาดลงบนกกหู อื้ออึง ไม่น่าใช่เรื่องจริง อาการคลื่นไส้ หายใจติดขัดเกิดขึ้นต่อเนื่อง เป็นไปได้อย่างไร น้องเราที่กำลังมีอนาคตสดใส เป็นความหวังของเพื่อนชาวศูนย์วิทยาศาสตร์ ของชาวสำนักงาน กศน. มาด่วนจากไปด้วยอายุเพียง 46 ปี เพิ่งผ่านวันเกิดไปได้ไม่กี่วันเลย
วันเวลาแห่งการทุ่มเทให้กับการทำงาน ความเป็นนักวิชาการที่เก่งกาจ การประสานงานเครือข่ายระดับสุดยอด ทั้งสองเรื่องหาผู้บริหารที่มีฝีมือเสมอได้ยาก ยืนยันด้วยคำพูดจากการสนทนาพูดคุยกัน ก่อนเสียชีวิต 2 วันที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ด้วยคำพูดที่มีคุณค่าสุดท้ายว่า “พี่การทำงานกับเครือข่าย ผมทำทุ่มเทร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำภารกิจของเขาเหมือนของเรา เพราะเราอยากให้เครือข่ายให้เราร้อยเปอร์เซ็นต์ เราต้องให้เขาร้อยเปอร์เซ็นต์ก่อน ด้วยความคิดนี้แหละที่ทำให้ผมได้รับความช่วยเหลือจากเครือข่ายอย่างดียิ่งตลอดมา” เป็นคำพูดของน้องที่ก้องอยู่ในหู ถึงเทคนิคการทำงานร่วมกับเครือข่าย ยังบอกน้องไปว่า “ชัยกิจ เจ้ามีประสบการณ์การทำงานกับเครือข่ายระดับเซียน เขียนหนังสือซิจะได้เป็นบทเรียนให้เพื่อน ๆพี่ๆน้องๆเราได้ศึกษาเพื่อย่นเวลาในการค้นหาของเขาเหล่านั้น ” “ครับพี่ ผมเตรียมจะเขียนแล้วผมมีข้อมูลที่ค้นพบหลายประเด็นมากเลยครับ”
โอ้...น้องรัก เจ้าจากไปเร็วเกินไป แม้การจากไปของน้องไม่ทำให้น้องเจ็บปวด จากไปขณะนอนหลับด้วยความอ่อนล้า จากไปด้วยอุบัติเหตุโดยไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำไป แต่เราทุกคนไม่ปรารถนาให้น้องจากไปเลย “ชัยกิจ อนันตนิรัติศัย” เราชาวศูนย์วิทยาศาสตร์ทุกคนรักและตราตรึง ภาพของความเป็นนักวิชาการและนักบริหารของน้องตลอดไป .................ไปสู่สุคติเถอะน้องรัก.

วันอาทิตย์, กรกฎาคม 24, 2554

ความสวยงามของวัดหน้าพระเมรุฯ



วัดหน้าพระเมรุฯ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นวัดที่หันหน้าเข้าหาพระมหาราชวังเดิม จึงดูแปลกเพราะโบสถ์และวิหารหันหน้าไปทางทิศใต้ โดยทั่วไปโบสถ์วิหารหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ความสวยงาม ความอลังการไม่ต้องพูดเลยละ โดยเฉพาะพระประธานในวิหารทั้งสองหลังมีความสวยงามมาก องค์ใหญ่ในวิหารหลังใหญ่ เป็นทองสัมฤทธิ์ประดับอัญมณีฝีมือการปั้น การหล่อประณีตมาก ส่วนอีกองค์ในวิหารเล็กเป็นพระประธานหินหยกอายุกว่า 1500 ปี สวยมาก ใครอ่านบทความนี้ต้องรีบไปดูนะถ้ามีโอกาส หากยังไม่มีโอกาสดูรูปไปพลางๆ ก่อนก็แล้วกัน

ป้อมเพชร




เดือนกรกฎาคม ปีพ.ศ. 2554 แม่น้ำเจ้าพระยามีสีขุ่นคงเหมือนอดีตที่ผ่านมา และก็ไหลไปออกทะเลทิศทางเดิม แม่น้ำป่าสักก็สีขุ่นเหมือนกันยังคงไหลมาบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณหน้าวัดพนัญเชิง บริเวณสามเหลี่ยมที่แม่น้ำป่าสักและแม่น้ำเจ้าพระยามาบรรจบกัน มีป้อมปืนโบราณที่เหลือซากให้เห็นอยู่ คือ ป้อมเพชร
ป้อมเพชรมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยาราชธานีในอดีตมาก เพราะเป็นป้อมปืนที่ตั้งปืนใหญ่ได้ถึง 8 กระบอก ป้องกันศัตรูที่มารุกรานทางน้ำ ไม่ว่ามาทางแม่น้ำเจ้าพระยา หรือแม่น้ำป่าสัก กาลเวลาผ่านมากว่า 400 ปีแล้ว รากเง้าทางประวัติศาสตร์ทำให้เรามองเห็นความจริงที่ยังซ่อนเร้นอยู่ที่ป้อมเพชร คือ ป้อมเพชรถูกสร้างถึง 2 ครั้งซ้อนกัน ครั้งแรกสร้างเป็นรูปกลมแบบโปรตุเกส ครั้งที่สองสร้างทับเป็นรูปหกเหลี่ยมแบบฝรั่งเศส แสดงถึงความสัมพันธ์ของกรุงศรีอยุธยาที่มีต่อชาวโปรตุเกสก่อนฝรั่งเศส ไม่มีการสร้างป้อมปืนแบบไทยเลยเพราะคนไทยใช้ดาบในการต่อสู้แบบประชิดตัวจึงไม่สร้างป้อมปืน

การผสมกลมกลืน



พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว วิถีชีวิตผู้คนบริเวณวัดพนัญเชิง เริ่มเคลื่อนไหวให้เห็นในหลายรูปแบบทั้งทางน้ำและบนบก เสียงหวูดเรือลากโยงเรือบรรทุกทรายหลายลำผ่านหน้าวัดเป็นสายยาว เรือหางยาวรับส่งผู้คนข้ามฝากจากแม่น้ำเจ้าพระยามาแม่น้ำป่าสักบริเวณท่าเรือหน้าวัด
คนหลายชาติหลายศาสนา มาท่องเที่ยวมาไหว้พระไหว้ศาลเจ้าที่วัดพนัญเชิง ดูขวักไขว่ ครูพาเด็กนักเรียนมาเรียนรู้บริเวณท่าน้ำ บริเวณศาลเจ้าและวิหารหลวงพ่อโต จังหวัดพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน ยังคงผสมกลมกลืนของผู้คนหลายชาติหลายศาสนาหลากหลายวัฒนธรรม จึงพบเห็นวัด โบสถ์ มัสยิด ศาลเจ้า อยู่ร่วมกัน ผู้คนก็อยู่ร่วมกันเกี่ยวดองสัมพันธ์กันไป
ความแตกต่างเป็นเพียงความรู้สึกของผู้พบเห็น วิถีชีวิตจริงของคนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา คือการผสมกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังเช่นภาพที่ปรากฏอยู่ที่วัดพนัญเชิง มีทั้งโบสถ์และศาลเจ้าอยู่คู่กันมาช้านาน

วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 14, 2554

นี่คือคนไทย




ปรัชญาของคนไทย คือ หัวใจพระพุทธศาสนา อันได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา ด้วยคนไทยแต่บรรพกาลเกือบทั้งหมดนับถือศาสนาพุทธ แม้ปัจจุบันคนไทยกว่าร้อยละ 97 ยังนับถือพระพุทธศาสนาอยู่ จากปรัชญาหัวใจพระพุทธศาสนานี้เอง ที่ทำให้คนไทยแสดงอัตลักษณ์ตัวตน เป็นคนมีเมตตา อารี ช่วยเหลือและให้อภัย จากอัตลักษณ์ดังกล่าว ทำให้คนไทยมีพฤติกรรมแสดงออกโดยการ ยิ้มแย้มแจ่มใส คนไทยสามารถยิ้มได้ทุกความรู้สึกจนได้ชื่อว่า ยิ้มสยาม อีกพฤติกรรมหนึ่งของคนไทยคือ ชอบลืม การชอบลืม มาจากอัตลักษณ์การเป็นผู้ให้อภัย บนความเชื่อถ้าอยากให้อภัยก็ลืมมันเสีย พฤติกรรมชอบลืมนี้เอง ที่ส่งผลให้คนไทยแต่บรรพกาลไม่ชอบบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อย่างตรงไปตรงมา เพราะเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มี ทั้งดี ทั้งเลว ทั้งเจ็บปวด ทั้งทุกข์ ถ้าอยากจะลืมก็ไม่ต้องเขียนมันไว้ ที่เขียนไว้ก็คลุมเครือ เป็นตำนาน พงศาวดาร นิทาน เสียส่วนใหญ่ เรื่องผิดพลาดก็ไม่อยากเขียนไม่อยากจำ ก็เป็นเช่นนี้แหละ “ยิ้มและให้อภัยแล้วลืมมันเสีย เริ่มต้นใหม่” นี่แหละคือคนไทยคือตัวฉันนั่นเอง

วันพุธ, กรกฎาคม 13, 2554

ป่าหลังฝนบนอุทยานแห่งชาติปางสีดา























คนรักป่า ย่อมรู้คุณค่าของป่า รู้ธรรมชาติของป่า รู้พฤติกรรมตามธรรมชาติของป่า รู้เหมือนรู้จักคนรักว่าเขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไรฉันนั้น
หลังฝนตกผ่านไปไม่นาน มาดูกันว่าป่าบนอุทยานแห่งชาติ บอกอะไรเราบ้าง ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม เวลายามบ่าย เมื่อขับรถผ่านเข้าเขตป่า หอมกลิ่นดินกรุ่นไปทั่ว ป่าทั้งป่าสงบนิ่งดูดซับน้ำฝน ไก่ป่าเพศเมียออกมาแสดงตัวบนถนนเต็มไปหมด ทำไมต้องเป็นตัวเมีย นอกจากไก่ป่าแล้วไก่ฟ้าพญาลอก็เป็นเพศเมีย ดูเถอะเหมือนจะรู้ว่าประเทศไทยกำลังจะมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้หญิงอย่างนั้นแหละ ( คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) อากาศสดชื่นมาก หมอกฤดูฝนแผ่กระจายไปทั่วป่า การตรวจการด้วยกล้องส่องทางไกลทำไม่ได้เลย
สรุปได้ว่า ป่าหลังฝนบนอุทยานแห่งชาติปางสีดา เต็มไปด้วยทะเลหมอกที่แสนสดชื่น

วันอังคาร, กรกฎาคม 12, 2554

“มะพูด” ผลไม้แปลก

















มหากวีเอกของโลก ท่านสุนทรภู่แต่งบทกวีที่ไพเราะไว้มากมาย มีอยู่บทหนึ่งที่ท่านแต่งไว้ใน นิราศภูเขาทอง ความว่า “ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจาฯ” ที่บางพูดในนิราศภูเขาทอง น่าจะมีต้นมะพูดเยอะในสมัยที่สุนทรภู่เดินทางและพายเรือผ่านบางพูด
ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาสระแก้ว มีต้นมะพูดอยู่ต้นหนึ่ง ท่านผู้อำนวยการ สมนึก โทณผลิน ปลูกไว้สมัยที่เป็นผู้อำนวยการศูนย์วิทย์ฯ ขณะนี้ต้นสูงประมาณ 3 เมตร ออกผลแล้ว มะพูดเป็นผลไม้ รสชาติเปรี้ยวนำหวานน้อย เนื้อนิ่มคล้ายลูกจัน เมื่อสุกผิวบางสีเหลือง มักมีเกสรเพศเมียติดอยู่ ขยายพันธุ์โดยเมล็ด น้ำผลมะพูดคั้นใช้ดื่มแก้ไอ ขับเสมหะ แก้เจ็บคอ
มะพูด ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Garcinia dulcis (Roxb.)Kurz
อ้างอิง หนังสือองค์ความรู้เรื่องพืชป่า : มูลนิธิโครงการหลวง

การเชื่อมต่ออายตนะ














เมื่อเปิดดูพจนานุกรม คำว่า “อายตนะ”แปลว่า เครื่องติดต่อ,เครื่องเนื่อง, ในพระพุทธศาสนา หมายถึง จักษุ,โสต,ฆาน,ชิวหา,กาย,ใจ เรียกว่า อายตนะภายใน เป็นเครื่องต่อกับอายนะภายนอก คือ รูป,เสียง,กลิ่น,รส โผฏฐัพพะ,ธรรม
เมื่อวานนี้ได้พบหลวงพี่ พระอาจารย์ที่เคยสอนสมาธิ ตอนบวชช่วงเดือน มีนาคม เมษายน ที่ผ่านมา หลวงพี่ทักว่า “โยมพี่หลุดหรือเปล่า มัวแต่ทำงานทางโลก ” ตอบพระอาจารย์ไปว่า “งานเยอะมากครับได้นั่งสมาธิน้อย เมื่อนั่งกว่าจะต่อติดต้องใช้เวลานาน” หลวงพี่สอนด้วยความห่วงใยว่า “โยมพี่งานก็ทำไป แม้เวลางานเพียงแค่โยมพี่ต่ออายตนะเชื่อมกันทั้งอายตนะภายนอกและภายในให้ตรงกัน โยมพี่ก็จะรู้ รับรู้ อะไรจะแทรกโยมพี่ไม่ได้ บาปกับบุญช่วงชิงกันทุกวินาที เราไม่รู้ว่าจะละสังขารในวินาทีไหน” เมื่อได้ฟังคำสอนสั้นๆ ของหลวงพี่ ทำให้นิ่งไปพักหนึ่ง ตรองตามคำพูดของหลวงพี่ ใช่เลยเราไม่ได้เชื่อมต่ออายตนะ ความฟุ้ง ยังเกาะกุมอยู่ตลอดเวลา นี่โชคดีนะที่มีหลวงพี่เป็นกัลยาณมิตร ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว ทำให้ใจสงบได้เหมือนน้ำนิ่งๆ สาธุ สาธุ สาธุ

วันศุกร์, กรกฎาคม 08, 2554

พระพุทธเจ้าท่านรู้เห็นอะไรจึงเป็นศาสดาได้





พระพุทธองค์ทรงรู้ความจริงของชีวิต 4 ประการ ซึ่งเป็นความจริงแท้แน่นอน ที่เป็นมาและจะต้องเป็นไปอีกตราบที่ชีวิตยังมีอยู่ ซึ่งความจริงนั้นเรียกว่า อริยสัจจ์
ความจริงเรื่องที่หนึ่ง พระองค์ทรงเห็น ความทุกข์ ความทุกข์ประจำของชีวิต ความทุกข์ที่เกิดจากการเกิด การแก่ และการตาย แถมพระองค์ทรงเห็น ความทุกข์ที่จรผ่านมาในชีวิต อันได้แก่ ความโศก ความคร่ำครวญ ความเจ็บไข้ ความน้อยใจ ความอาลัยอาวรณ์ ความตรอมใจ ความพลัดพราก ความไม่ได้ในสิ่งที่ปรารถนา ทั้งทุกข์ประจำและทุกข์จร ล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ทั้งสิ้น
ความจริงเรื่องที่สอง พระองค์ทรงเห็น สาเหตุแห่งทุกข์ ว่าทุกข์ทั้งหลายล้วนแล้วมีเหตุมาจากความอยากได้ใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อารมณ์ที่น่าพอใจ ความอยากเป็น เช่นอยากเป็นใหญ่เป็นโต รวมถึงความไม่อยากเป็น เช่นไม่อยากเป็นคนจน คนแก่ ทั้งความอยากและความไม่อยากนี่เองเป็นสาเหตุแห่งทุกข์
ความจริงเรื่องที่สาม พระองค์ทรงรู้ว่า ดับกิเลส ดับตัณหา หมดทุกข์โดยสิ้นเชิงที่เรียกว่า นิพพาน
ความจริงเรื่องที่สี่ พระองค์ทรงเห็น หนทางดับทุกข์ ว่ามีแปดหนทาง ถ้าขยายแปดหนทางจะกลายเป็น 84,000 พระธรรมขันธ์ ถ้าย่อลงจะเหลือเพียงสาม ที่เรียกว่า หัวใจพระพุทธศาสนา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
หนทางแห่งศีล มีเจรจาชอบ ทำงานชอบและเลี้ยงชีพชอบ
หนทางแห่งสมาธิ มีความเพียรชอบ ความระลึกชอบและใจตั้งมั่นชอบ
หนทางแห่งปัญญา มีความเห็นชอบ ความคิดชอบ
ความจริงที่พระพุทธองค์ทรงรู้ทรงเห็นและนำมาสอนโปรดสัตว์ทั้งหลายคือความจริงทั้งสี่ประการดังกล่าว เรียกว่า อริยสัจจ์ 4 มี ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค ด้วยประการฉะนี้
เรียบเรียงจากมงคลชีวิตที่ 33 เห็นอริยสัจจ์ (ฐานวุฑฺโฒ ภิกฺขุ)

วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 07, 2554

กิเลสสามตระกูลในระดับธุลี



สำหรับผู้แสวงหาสัทธรรม การพูดถึงกิเลสย่อมเข้าใจได้ง่ายว่าสิ่งใดเป็นกิเลสควรละ เพื่อยกจิตใจให้สูงขึ้นขอเจาะลึกไปถึงกิเลสชั้นธุลี เพื่อการจดจำ เพื่อการปฏิบัติละเสีย กิเลสระดับธุลีมีสามตระกูล
ตระกูลแรก กิเลส ราคะ ที่จัดเป็นธุลีกิเลส คือ ความพอใจในกาม ความติดใจในรูปฌาน ความติดใจในอรูปฌาน
ตระกูลที่สอง กิเลส โทสะ ที่จัดเป็นธุลีกิเลส คือ ความขัดใจ
ตระกูลที่สาม กิเลส โมหะ ที่จัดเป็นธุลีกิเลส คือ ความเห็นว่าเป็นตัวตน ลังเล เชื่องมงาย ถือตัว ฟุ้งซ่าน ไม่รู้พระสัทธรรม
กิเลสธุลีทั้งสามตระกูล พระพุทธองค์ เรียกว่า สังโยชน์ 10 โดยเรียงลำดับดังนี้
1. สักกายทิฏฐิ เห็นเป็นตัวตน
2. วิจิกิจฉา ลังเล
3. สีลัพพตปรามาส งมงาย
4. กามราคะ พอใจในกาม
5. ปฏิฆะ ความขัดใจ
6. รูปราคะ ติดรูปฌาน
7. อรูปราคะ ติดอรูปฌาน
8. มานะ ถือตัว
9. อุทธัจจะ ฟุ้งซ่าน
10. อวิชชา ไม่รู้พระสัทธรรม
พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี ละสังโยชน์ ได้ในระดับที่ต่างกัน ส่วนพระอรหันต์ละได้ทั้งหมด
เรียบเรียงจาก มงคลชีวิตที่ 37 จิตปราศจากธุลี (ฐานวุฆฺโฒ ภิกฺขุ)

วันอังคาร, กรกฎาคม 05, 2554

เณรน้อยหน่อเนื้อพระพุทธศาสนา







เณรน้อยหน่อเนื้อพระพุทธศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระโคดมศากยมุนี พยากรณ์ไว้ว่า ศาสนาพุทธจะล่มสลายได้ก็เพราะพุทธบริษัท 4 คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เท่านั้น อื่นใดไม่ทำให้พระพุทธศาสนาล่มสลายได้เลย เณรน้อยเป็นหน่อเนื้อพระพุทธศาสนาโปรดให้โอกาสลูกเณรได้ศึกษาธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเถิด

เทศกาลหน้ากากที่ปาลิโอ







งานเทศกาลหน้ากากที่ปาลิโอเขาใหญ่ มีคนกล่าวว่าผู้หญิง ผู้ชาย จะมีความเสมอภาคกันก็ต่อเมื่อสวมหน้ากากไว้บนหน้า งานเทศการหน้ากากที่ปาลิโอ ผู้สวมหน้ากากกลับเป็นสาวประเภทสอง สรุปว่าใครก็ได้สามารถอยู่หลังหน้ากาก