วันพุธ, เมษายน 30, 2551

ภูมิปัญญาช่างตีเหล็กบ้านนาป้อ ตีมีดตัดยางสืบทอดกว่า 100 ปี

ตาแหนด สีผม เป็นชื่อภูมิปัญญาช่างตีเหล็ก บ้านนาป้อ ตำบลควนปริง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง ที่ดูแข็งแรงแม้ว่าอายุของตาแหนด จะย่างเข้า 78 ปี แล้ว ตาแหนด เล่าว่ากลุ่มช่างตีเหล็กบ้านนาป้อ เป็นชุมชนอิสลามล้วน ๆ มีอาชีพตีเหล็ก ตีมีดตัดยาง (กรีดยาง) พร้า มีดโต้ มากว่า 100 ปี แล้ว ตั้งแต่สมัยปู่ พ่อ มาถึงตาแหนด ปัจจุบันรุ่นลูกและหลานยังประกอบอาชีพตีเหล็ก มีช่างรวมกลุ่มกันมากกว่า 20 คน ลูกชายตาแหนดชื่อ นายจรูญ สีผม เล่าให้ฟังว่า ช่างตีเหล็กแม้อายุจะมากแต่ทุกคนมีร่างกายแข็งแรงเพราะได้ออกกำลัง แม้ว่าการเพิ่มอุณหภูมิในเตาเผาจะไม่ได้ใช้มือในการสูบอากาศเข้าไปแล้ว แต่กระบวนการตีเหล็กยังคงเอกลักษณ์เดิมของ “พร้านาป้อ” ที่สวยงาม คงทน ถ่านที่ใช้ยังคงเป็นถ่านจากไม้เคี่ยมเหมือนเดิม ซึ่งสั่งซื้อมาจากจังหวัดกระบี่ เป็นไม้เคี่ยมที่เป็นส่วนโคนที่ฝังอยู่ในดินนำมาเผาเป็นถ่าน ซื้อขายราคากระสอบละ 130 บาท มีองค์ความรู้อีกมากจะนำเสนอรายละเอียดของแหล่งเรียนรู้นี้ในโอกาสต่อไป
“คุณภาพของคน คุณภาพของพร้านาป้อ เป็นคุณค่าน่าศึกษาและถ่ายทอดองค์ความรู้ สู่สาธารณะ นี่คือ วิทยาศาสตร์ชุมชนภูมิปัญญาของชาติ”

ครูสมพงษ์ ยอดนักสังเกต เลี้ยงหอยขมด้วยอาหารธรรมชาติ

ครูสมพงษ์ อยู่บ้านน้ำผุด อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง บริเวณหลังบ้านมีฝานน้ำล้น
ครูสมพงษ์จึงเลี้ยงปลาดุก ปลานิล ปลาทับทิม ในกระชัง เป็นรายได้เสริม วันหนึ่งได้สังเกตพบว่า
บริเวณริมตลิ่งมีหอยขมเกาะกินตะใคร่น้ำอยู่ทั่วไป เกิดความคิดว่าถ้าเอากระชังมาล้อมหอยขมไว้
น่าจะเก็บขายได้ง่าย ที่ตลาดซึ่งครูสมพงษ์นำปลาไปขายทุกเช้า มีคนขายหอยขมจานเล็กๆ ไม่ถึง 10 ตัว
ราคาตั้ง 10 บาท การทดลองใช้กระชังล้อมหอยขมได้ผล ครูสมพงษ์สามารถเก็บหอยไปขายได้
แต่พบว่าหอยไม่สามารถนำไปเป็นอาหารได้ทันที เนื่องจากหอยอยู่ริมตลิ่งมีทรายอยู่ในตัวต้องทิ้งไว้
1 คืนก่อน ปัจจุบันใช้วิธีการเลี้ยงหอยขมในกระชัง หอยกินตะไคร่น้ำที่อยู่รอบๆ กระชังทำให้หอยไม่มีทราย
จึงมีรายได้เสริมจากการเลี้ยงหอยขมโดยใช้อาหารจากธรรมชาติเพราะความช่างสังเกตและทดลองนั้นเอง

วันจันทร์, เมษายน 21, 2551

ประมงชายฝั่งบ้านพระม่วง

ประมงชายฝั่งบ้านพระม่วง

บ้านพระม่วงเป็นหมู่บ้านชาวประมง ตั้งอยู่ในตำบลนาเกลือ อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เกือบทั้งหมดเป็น คนไทยนับถือศาสนาอิสลาม ยังชีพด้วยการทำประมงเรือเล็ก จากการพูดคุยทำให้รู้ว่าการออกเรือของชาวพระม่วงมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน เช่น ถ้าออกเรือหาปลา หาปู จะออกช่วงเวลาน้ำตาย (น้ำนิ่ง ช่วง 6-12 ค่ำ ) หากเป็นช่วงน้ำใหญ่ (น้ำมาก 13-15 ,1 ,2 ค่ำ) ชาวพระม่วงจะออกตกหมึก รายได้โดยเฉลี่ยต่อวันยังไม่หักค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 300-400 บาท

ชาวพระม่วงต่อเรือในหมู่บ้านตนเอง ไม้ที่ใช้ต่อเรือนิยมใช้ไม้จำปาดะเป็นกระดูกงู ตัวกง และส่วนหัวซึ่งยกสูงขึ้นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ใช้ไม้ขนุนเป็นพื้นเรือด้วยเหตุผลเมื่อแห้งน้ำหนักจะเบา และใช้ไม้ตะเคียนทรายเป็นส่วนข้างเรือทั้งหมด ลักษณะเรือที่ใช้ออกหาปลา ถ้าเป็นเรือขนาด 21 ตัวกง ใช้เวลาต่อเรือประมาณ 1-2 เดือน

ข้อสังเกต จะพบว่าการออกเรือมักออก 1-2 คนต่อเรือหนึ่งลำ แต่ส่วนใหญ่เป็น 2 คน (ผู้ชาย) ออกในช่วงเวลาตีสามกลางคืนและกลับเข้าฝั่งอีกครั้งในช่วงบ่ายสามโมง เมื่อกลับถึงฝั่ง ผู้ชายพักผ่อนด้วยการดื่มชา โกปี้ และน้ำหวาน ส่วนผู้หญิงและเด็ก ๆ เก็บปลาและปูจากอวนที่ขึ้นมาจากเรือ

“นกกรงหัวจุก”

“นกกรงหัวจุก” เป็นชื่อที่เรียกนกชนิดหนึ่งของคนเลี้ยงนกในภาคใต้เลี้ยงไว้เพื่อแข่งขันเสียงร้องประชันกัน นกกรงหัวจุก มีชื่อที่เป็นทางการคือ นกปรอทหัวโขน (Red whiskered Bulbul) เป็นนกประจำถิ่นที่พบบ่อยมากเกือบจะทั่วประเทศยกเว้นภาคใต้ ซึ่งนิยมเลี้ยง แทบไม่พบนกปรอทหัวโขนในธรรมชาติเลย อาจพบบ้างบางครั้งมักจะเป็นนกที่หลุดจากการขังกรง คนเลี้ยงนกในภาคใต้เมื่อเห็นนกหลุดกรง ก็นำนกของตนมาพยายามต่อนกหลุดด้วยใจที่จดจ่อที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะว่า นกกรงหัวจุกแต่ละตัวซื้อมาด้วยราคาแพง ราคาตั้งแต่ 500-600 บาท บ้างตัวราคาหลักพัน หลักหมื่น หลักแสน แหล่งที่ซื้อจะซื้อนกจากภาคเหนือ จากประเทศพม่า ประเทศลาวและเขมร สถานการณ์นกปรอทหัวโขนในภาคใต้ใกล้ สูญพันธ์ เส้นทางระหว่างวัฒนธรรมกับการอนุรักษ์ ซึ่งเป็นเส้นทางคู่ขนานที่ไม่ยอมเชื่อมต่อกันได้ สถานการณ์ของนกปรอทหัวโขน น่าจะเป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกคนหล่อหลอม วัฒนธรรมกับการอนุรักษ์ได้อย่างกลมกลืนเพื่อความสวยงามของโลกใบนี้

“Super Markets” ของชุมชนคนตรัง

“Super Markets” ของชุมชนคนตรัง

ซุปเปอร์มาร์เก็ต ที่บอกกล่าว ณ ที่นี้มิใช่ หมายถึง ห้าง Macro หรือ Lotus หากแต่เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตธรรมชาติ ของชุมชนคนตรัง ราว ๆ เดือนเมษายนของทุกปี นับเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านฤดูจากร้อนจะเข้าสู่ฤดูฝน หากมีฝนตกชุก 1-2 วันติดกัน หลังจากนั้นจะเกิดมหกรรมของชุมชน คนตรังไม่ว่าเป็นชาวพุทธหรืออิสลาม นับเป็นจำนวนร้อย ๆ คน จะมาบริเวณป่าชุมชนในโรงเรียนวิเชียรมาตุและศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาตรัง ด้วยเป้าหมายเดียวกัน คือ การเก็บเห็ดเสม็ด ทุกคนไม่แย่งชิง แต่พยายามเขี่ยหาเห็ดซึ่งขึ้นอยู่ใต้ใบต้นเสม็ดขาวหรือกระถิ่นเทพาที่หล่นทับกัน แต่ละคนได้มากบ้าง น้อยบ้าง บางคนอาจได้ถึง 20-30 กิโลกรัม

จากการสังเกต พบว่าเห็ดเสม็ด เป็นเห็ดตับเต่าชนิดหนึ่งมีลักษณะคล้ายเห็ดฟางแต่ขนาดเล็กกว่ามีสีม่วงอ่อน ๆ ดอกเห็นค่อนข้างแข็ง ทุกคนที่มาเก็บเห็ดดูมีความสุข มีสมาธิในการค้นหาเห็ด เมื่อซักถามพูดคุย ทราบว่า เห็ดเสม็ดเมื่อนำไปต้มหรือแกงกะทิจะมีรสขมนิด ๆ มีเมือกลื่น ๆ รับประทานอร่อยมาก ถ้านำไปขายจะได้ราคาประมาณกิโลกรัมละ 80-120 บาท ความต้องการของตลาดไม่เพียงพอเฉพาะในจังหวัดตรัง
คำถาม ถามว่าจะทำอย่างไร จึง จะทำให้ป่าชุมชนมีความอุดมสมบูรณ์มีเห็ด มีผัก ให้ลูกหลานได้เก็บกินในอนาคต มิใช่เป็นเพียงตำนานเล่าขานถึงดินแดนที่เคยเต็มไปด้วยเห็ดเสม็ดในป่าชุมชนโรงเรียนวิเชียรมาตุและศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาตรัง แต่ปัจจุบันป่าไม่มีแล้ว

นบยักษ์แหล่งเรียนรู้ป่าชายเลนของคนตรัง

นบยักษ์แหล่งเรียนรู้ป่าชายเลนของคนตรัง

“นบ” เป็นคำย่อของคำว่า “ทำนบ” ซึ่งหมายถึงคันกั้นน้ำ นบยักษ์ในที่นี้เป็นคันหินที่กั้นน้ำทะเลขึ้นลง ซึ่งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดตรังประมาณ 10 กิโลเมตรไปทางอำเภอกันตัง ความโดดเด่นเป็นช่วงเวลาน้ำลง จะเห็นเกาะแก่งหิน หาดทราย นกทะเลจำนวนมาก ปูดำ หอยกาบ ป่าโกงกาง นับเป็นแหล่งเรียนรู้ป่าชายเลนที่สำคัญซึ่งศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาตรังนำกลุ่มเป้าหมายไปเรียนรู้

ทุ่งค่ายมรดกล้ำค่าของคนตรัง

ทุ่งค่ายมรดกล้ำค่าของคนตรัง

ทุ่งค่ายเป็นชื่อของตำบลหนึ่งที่นำมาตั้งเป็นชื่อ สวนพฤกษศาสตร์ภาคใต้ (ทุ่งค่าย)จังหวัดตรัง สวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้จัดเป็นแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติเป็นภาคีเครือข่ายของศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาตรังมาช้านาน ความสำคัญของทุ่งค่ายอยู่ที่ เป็นแหล่งศึกษาพรรณไม้ เขตร้อนชื้น ป่าพรุ ที่น่าสนใจ มีไม้เคี่ยม ไม้ยมชวน ระกำ ลุมพี นกที่พบเป็นนกขนาดเล็กสีสันสวยงาม เช่น นกกาฝากท้องสีส้ม นกกินปลีอกสีม่วง เป็นต้น และที่ถือว่าเป็นมรดกล้ำค่าของคนตรังคือ....สะพานลิงเหล็กสำหรับเดินศึกษาเรือนยอดไม้ มีความสูงถึง 3 ระดับสูงกว่า 20 เมตรจากพื้นดินซึ่งสร้างในสมัย พณ ฯ ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี เราสามารถเรียนรู้อยู่ที่นี่ได้มากกว่า 3 ชั่วโมง

วันพฤหัสบดี, กุมภาพันธ์ 07, 2551

งานคือชีวิต

เมื่อชีวิตเราอุบัติขึ้นสิ่งที่ตามมาคือ งาน (work) การเต้นของหัวใจ ลมหายใจ
การเคลื่อนไหวคือ งาน ถ้าชีวิตปราศจากงาน คือ ชีวิตที่ตายแล้ว........
ขอให้สำนึกว่า เราต้องทำงาน การทำงานจะต้องออกมาจากจิตใจ เป็นสิ่งเร้าที่
เกิดขึ้นภายใน เป็นความตื่นตัว....ตระหนัก...สำนึก...ที่จะทำงาน เพราะงานจะทำให้ชีวิตเรายังคงอยู่
ความซื่อตรงต่องาน...ใครไม่สามารถสั่งเราได้ เพราะงานคือชีวิตของเรา เราต้องสั่งเอง...
ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตเรา และผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเรา
วันนี้...เรายังมีลมหายใจอยู่ เราต้องทำงาน ต้องรับผิดชอบต่องาน คุณค่าของชีวิตเราอยู่ที่คุณค่าของการทำงาน
“คุณค่าของงานคือคุณค่าของชีวิต”

พะยูง




ปี พ.ศ.2550 มีรายงานสถานการณ์ไม้พะยูงในประเทศไทยเหลือประมาณ 120,000 ต้น ฟังแล้วใจหาย....ถ้าสถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่นาน ไม้พะยูงอาจสูญพันธุ์ได้.....ไม้พะยูงเป็นไม้เนื้อแข็งอาจกล่าวได้ว่าเป็นไม้ที่มีความแข็งที่สุดก็ว่าได้..พะยูงมีลักษณะคล้ายประดู่หรือชิงชันลักษณะลำต้นไม่ตั้งตรง....กิ่งอาจเอียงไปเอียงมา..เมื่อนำมาเลื่อยจะได้เนื้อไม้ไม่ยาว....โดยทั่วไปจะยาวไม่เกิน 3 เมตร......ไม้พะยูงเคยมีเป็นจำนวนมากในป่าบริเวณจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศีรษะเกษ........ความเชื่อของคนในท้องถิ่นเชื่อว่าไม้พะยูงเป็นไม้ของเจ้า..ของนาย.......ประชาชนคนธรรมดานำมาใช้ไม่ได้.....ด้วยความเชื่อเช่นนี้ทำให้ข้าราชการทุกหมู่เหล่าที่ไปอยู่ในสามจังหวัดมีข้าวของเครื่องใช้ล้วนแล้วแต่ทำจากไม้พะยูงทั้งสิ้น....รวมทั้งตัวเรา.....กว่าจะตระหนักก็เกือบสายเกินไป.....ขอเป็นโจรกลับใจหันกลับมาปลูกไม้พะยูงทดแทน......ณ วันนี้สถานการณ์ไม้พะยูงเริ่มดีขึ้น...พบว่ามีไม้พะยูงเพิ่มขึ้นเป็น 120,049 ต้น......49 ต้นที่เพิ่มอยู่ในสวนที่เราปลูกด้วยความรักและความสำนึกผิด

wrist band

ริสท์แบน(wrist band)

เมืองพูคูน เป็นเมืองที่จอแจไปด้วยผู้คนทั้งชาวลาวและชาวต่างชาติ ที่จริงแล้วพูคูนไม่ใช่เมืองใหญ่อะไรของลาว เพียงแต่เป็นเมืองที่มีถนนสามสายมาบรรจบกัน สายหนึ่งมาจากเวียงจันทน์ สายหนึ่งมาจากหลวงพระบาง และอีกสายมาจากเชียงขวาง.........เสียงเด็กน้อยหญิงชายร้องขายข้าวโพดต้มเป็นภาษาไทยชัดแจ๋ว....นั่งรถตู้ตามถนนคดโค้งมาครึ่งวันแล้วจากเชียงขวาง.... แวะพูคูนหาอะไรร้อนๆกินน่าจะดี.....แก้คลื่นไส้...พอจอดรถ...เด็กน้อยเจ้าตัวเล็กที่ร้องขายข้าวโพดต้มรีบตรงเข้ามาหา......มือขวาหิ้วกระติกข้าวโพดต้มควันกรุ่นๆปากก็พูดแนะนำตัวเอง..ผมชื่อโก้...ท้าวโก้....อายุ 8-9ปีครับ เด็ก เป็นท้าวได้รึ...ได้ครับ....ชื่อผมเขียนอย่างนี้ ว่าแล้วก็หากระดาษทิชชูมาเขียนชื่อตัวเอง...เป็นภาษาลาว... ทำไมหนูพูดภาษาไทยชัดจัง..คนไทยมาเที่ยวบ่อยผมก็ดูทีวีจากประเทศไทยทุกช่อง....คุณตาไปร้านนั้นซิ...จะได้ซื้อของไปฝากคุณยายด้วย.....คุณตาเที่ยวให้สนุกนะครับ.......เด็กคนนี้ฉลาดมาก...ในอนาคตเขาอาจเป็นผู้นำประเทศได้.....ท้าวโก้ตาจะให้ ริสท์แบน(wrist band)หนู หนึ่งเส้น เส้นนี้หมายถึงความรักที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีต่อคนไทย หนูจะเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้ไหม...ผมจะเก็บไว้เป็นสิบปีเลยครับ.......แม้เราจะกลับมาถึงประเทศไทยหลายเดือนแล้ว...แต่ก็อดคิดถึงท้าวโก้ไม่ได้ซะที...........รำพึงกับตัวเองว่า.....จะมีวันใดหนอที่เราจะมีโอกาส.......ตามหาริสท์แบนเส้นนั้นอีก

วันพุธ, กุมภาพันธ์ 06, 2551

ยะมิง....ยอดนักบริหารท้องถิ่น

ยะมิง..ยอดนักบริหารท้องถิ่น ยะมิง ......เป็นผู้บริหารท้องถิ่นในภาคใต้ของประเทศไทย ยะมิงไม่จบชั้น ป. 2 แต่ยะมิงเรียนรู้การอ่านคัมภีร์อัลกุลาอ่านตั้งแต่ยะมิงจำความได้...ยะมิงเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาตลอดกว่า 30 ปี ตอนนี้ยะมิงอายุ 62 ปีแล้ว......ถามว่าทำไมชาวบ้านจึงเลือกยะมิงมาโดยตลอด...ทั้งที่ ป.2 ก็ไม่จบ เจ๊โสงน้องสาวคนสุดท้องเคยถามยะมิงว่าทำไมพี่ไม่ทำถนนลาดยางหน้าบ้านเราซะที.....คำตอบ...ของพี่ชายคือ..พี่ทำให้คนอื่นก่อนคนอื่นเขาจะได้มีความสุข...เมื่อเขามีความสุขพี่ก็มีความสุขด้วย...ด้วยเหตุนี้แหละชาวบ้านเขาจึงเลือกพี่มาตลอด...เจ๊โสง สงสัยความสุขของพี่ชายอยู่ที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้บริหารท้องถิ่นมากกว่าการมีถนนลาดยางสำหรับเดินทางที่สะดวก.....สงสัยชาตินี้บ้านเราไม่มีถนนลาดยางใช้แน่ๆ

วันอังคาร, กุมภาพันธ์ 05, 2551

คำเตือนจากแพะ

ความทรงจำในวัยเยาว์ของเด็กหญิง....เจ๊โสง เด็กน้อยชาวมุสลิมที่เกิดมาพร้อมเสียงคลื่น..เรือประมงและกลิ่นปลาทะเล..ที่มีต่อเหตุการณ์หนึ่งในชีวิต..วันนั้นเป็นวันที่คลื่นลมสงบนิ่งผิดปกติ..ฟ้าแดงอ่อน..ยอดมะพร้าวที่ขึ้นริมหาดใกล้บ้านไม่ไหวติง....เวลาเพิ่งบ่ายคล้อย....ไก่ที่เลิ้ยงไว้พากันกลับเข้าเล้าก่อนเวลาที่เคยเป็น....แพะเป็นฝูงที่ชาวมุสลิมเลี้ยงพากันร้องเสียงดัง...และวิ่ง ขึ้นไปที่สูง........พ่อของเจ๊โสงบอกลูกทั้งหญิงชายตัวเล็กๆทั้ง 12 คนเมื่อพาขึ้นเรือว่า.......คำเตือนจากแพะบอกให้เรารู้ว่าในไม่ช้าจะเกิดมรสุมที่รุนแรง.....จากนั้นพ่อก็ขับเรือหางยาวบรรทุกลูกไปริมทะล ระยะทาง ประมาณ 7-8 กิโลเมตรไปหลบลมที่ ที่ว่าการอำเภอเทพา....ที่อำเภอมีฝนตกหนัก ลมไม่แรง...หนึ่งถึงสองชั่วโมงต่อมาเมื่อลมสงบพ่อพาเจ๊โสงกลับบ้าน...เจ๊โสงพบว่า...ชายหาดหายไปทั้งหมดพร้อมกับต้นมะพร้าว..บ้านพังไปบางส่วน...แพะกลับมาที่บ้านไม่เป็นไร...เจ๊โสงคิดในใจ....นี่ถ้าแพะไม่เตือนภัยเราก่อนคงอันตรายแน่ๆ

วันพุธ, พฤศจิกายน 28, 2550

สันติสุขบนโลกของเรา

โลกของเรามีเพียงหนึ่งเดียว ยังไม่มีการค้นพบใด ๆว่ามีดวงดาวที่เหมือนโลกของเราปรากฎอยู่ในจักรวาลนี้ โลกเป็นสมบัติสำหรับทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ โลกไม่ได้แบ่งแยกไว้ให้ชีวิตใดชีวิตหนึ่งโดยเฉพาะ โลกจึงเป็นสมบัติกลาง มนุษย์เราต่างหากที่คิดว่าโลกนี้เป็นของตนจึงขีดแบ่งพื้นที่โลก แบ่งทรัพยากร แบ่งอากาศท้องฟ้า แบ่งน้ำแบ่งท้องทะเลว่าเป็นของตน รุกรานแย่งชิงรบฆ่าซึ่งกันและกัน แท้ที่จริงแล้วสุดท้ายโลกยังเป็นของทุกชีวิต โลกไม่เคยแบ่งแยก........ไม่เชื่อให้มนุษย์ฆ่าฟันกันให้หมดโลก...ดูซิว่าโลกยังเป็นของตนจริงหรือไม่

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 15, 2550

กศน.ควรหรือต้องเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้

วันนี้มีน้องจากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนภาคตะวันออก ระยองโทรศัพท์สัมภาษณ์ กรณีตัวชี้วัดการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา กศน.ว่าควรเป็นอย่างไรบ้าง ได้ให้ความเห็นองค์ประกอบขององค์กรแห่งการเรียนรู้ไว้ ๓ องค์ประกอบคือ ภาวะผู้นำของผู้บริหารและทีม การคิดเชิงระบบแบบองค์รวม และการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม โดยมีกัลยาณมิตรเป็นเครื่องร้อยเรียงเชื่อมโยงเมื่อมีอุปสรรคของการพัฒนา และเสนอแนะไปว่าเพื่อการเตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทุกด้าน ต้องเตรียมบุคลากรและองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ พรบ.ส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจะมาเร็ววันนี้

การศึกษาการเรียนรู้ธรรมาภิบาลของบุคลากรการศึกษานอกโรงเรียนโดยการเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้

บทคัดย่อ
การศีกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการและผลการเรียนรู้หลักธรรมาภิบาล โดยการเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของบุคลากรการศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดนครนายก เก็บรวบรวมข้อมูลจากบุคลากร รวมจำนวน 54 คน ด้วยวิธีการสังเกตการปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์กระบวนการเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผลจากการศึกษาพบว่า 1. ผลการเรียนรู้ธรรมาภิบาลในภาพรวมพบว่า ทั้ง 6 หลักการ มีการเรียนรู้หลักการซึ่งประกอบกด้วย 1) หลักนิติธรรม 2) หลักคุณธรรม 3)หลักความโปร่งใส 4)หลักสำนึกรับผิดชอบ 5)หลักการมีส่วนร่วม 6)หลักความคุ้มค่า ตามลำดับ
2. กระบวนการที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ การเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้(Dialogue) จากผลการนำกระบวนการนี้มาใช้ พบว่า 1) ด้านผู้จัดการกระบวนการเรียนรู้หรือผู้อำนวยความสะดวกบุคลากรผ่านการพัฒนาฝึกอบรมและมีประสบการณ์ในการจัดกิจกรรมในลักษณะดังกล่าวมาดี 2) ด้านสถานที่และอุปกรณ์สำหรับการจัดกระบวนการเรียนรู้ พบว่า มีขนาดเหมาะสมกับจำนวนสมาชิกในกลุ่มค่อนข้างดี ไม่เป็นทางการเกินไป และการดำเนินการครั้งนี้มีการเตรียมอุปกรณ์สำหรับใช้ในการจัดกิจกรรมค่อนข้างดี ทำให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความราบรื่น 3) ด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ พบว่า ผู้อำนวยความสะดวกได้ดำเนินการจัดกระบวนการอย่างเป็นขั้นตอน ถูกต้องตามหลักการของการจัดเสวนา โดยไม่เป็นผู้ชี้นำความคิด การกระตุ้นให้สมาชิกกลุ่มแสดงความคิดเห็นอย่างมีอิสระโดยความเคารพในความคิดเห็นของกันและกัน แลการสร้างบรรยากาศการพูดคุยอย่างสนุกสนานเป็นกันเองทำให้บรรยากาศการเรียนรู้เป็นไปอย่างมีความสุขสมาชิกกลุ่มได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ และ 4)ด้านความต่อเนื่องการจัดกระบวนการเรียนรู้ พบว่า การเรียนรู้หลักธรรมาภิบาลสอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาลตามพระราชบัญญัติการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี โดยเฉพาะในมติที่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้ในการปฏิบัติงานโดยตรงของบุคลากรในแต่ละระดับ

วันจันทร์, สิงหาคม 20, 2550

ไทยพวนอำเภอปากพลี พ.ศ.๒๕๕๐

บันทึกวิถีวัฒนธรรมและการดำรงอยู่ของไทยพวนอำเภอปากพลี พ.ศ.2550
จังหวัดนครนายก
ปัญญา วารปรีดีและคณะ (2550)
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิถีวัฒนธรรมและการดำรงอยู่ของไทยพวนอำเภอปากพลี โดยศึกษาจากการสำรวจ การสังเกต การสัมภาษณ์และศึกษาข้อมูลจากเอกสาร
ผลการศึกษาพบว่า คนไทยพวนที่อำเภอปากพลีเดินทางมาด้วยเส้นทางอันยาวไกล จากดินแดนที่สูง จากระดับน้ำทะเลมากกว่า 1200 เมตร คือ เมืองพวนในแขวงเชียงขวาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เดินทางมาพร้อมเด็ก ผู้หญิง คนแก่ชรา ชายฉกรรจ์ พระ เณร พระพุทธรูปพร้อมพระพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรมสู่ถิ่นที่อยู่ใหม่คืออำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก ในความสูงจากระดับน้ำทะเลเพียง 180 เมตร เดินทางด้วยผลแห่งสงคราม หลักฐานที่ยืนยันชัดเจนว่าเดินทางมาเมื่อใดไม่ปรากฏ ที่ปรากฏคือมีหลักฐานชี้ชัดว่าอยู่มานานไม่น้อยกว่า 180 ปี ปัจจุบันมีคนไทยพวนที่อาศัยในอำเภอปากพลี 8189 คน โดยตั้งบ้านเรือนที่อยู่อาศัยอยู่ตลอดสองฝั่งคลองท่าแดง กระจายอยู่ใน 6 ตำบล ตำบลเกาะหวายและตำบลหนองแสงมีประชากรไทยพวนหนาแน่นที่สุด ส่วนตำบลท่าเรือและตำบลเกาะโพธิ์ มีความหนาแน่นรองลงมา และมีไทยพวนไปอาศัยอยู่บางหมู่บ้านที่ตำบลโคกกรวดและตำบลนาหินลาด คนไทยพวนใช้ภาษาพวนพูดสื่อสารระหว่างกลุ่มของตน และมีการก่อตั้งชมรมไทยพวน มีสภาวัฒนธรรมอำเภอปากพลี เป็นรูปแบบในการทำงานอย่างเป็นทางการ คนไทยพวนอำเภอปากพลีมีวิถีวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับจารีตประเพณีที่ถือปฏิบัติสืบกันมาในสิบสองเดือนและการปฏิบัติตนอยู่ในทำนองคลองธรรมสิบสี่ประการ ทำให้คนไทยพวนมีความผูกพันกับวัด กับพระพุทธศาสนาและมีความกตัญญูต่อบรรพบุรุษซึ่งเห็นได้จากการมี “ศาลปู่ตา” อยู่ในหมู่บ้านทุกหมู่บ้านที่มีไทยพวนอยู่ ส่วนวิถีชีวิตและการดำรงอยู่นั้นเปลี่ยนแปลงไปตามการเป็นไปของชุมชนและสังคม ปรากฏภาพจิตรกรรมปูนปั้นนูนสูงคือภาพปริศนาธรรมที่ฐานอุโบสถวัดคลองคล้ามีจำนวนทั้งสิ้น 16 ภาพ มี 4 ภาพ ที่มีคำบรรยายประกอบ อีก 12 ภาพไม่มีคำบรรยาย มีจารึกชื่อผู้ปั้นคือ นายผาลี เนื่องจากอวน ปั้นเมื่อปี พ.ศ. 2471 ด้วยความศรัทธาที่จะให้ภาพปริศนาธรรมเหล่านั้นเป็นธรรมทาน เมื่อมีผู้มาพบอ่านก็ให้ประสพความสุขไปตลอดชาติและภาพปริศนาธรรมเหล่านี้ได้สื่อถึงนิสัยของคนไทยพวนที่มุ่งมั่นในพระพุทธศาสนาประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรม นอกจากภาพปริศนาธรรมแล้วพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านไทยพวนวัดฝั่งคลองซึ่งเกิดจากความศรัทธา ความตั้งใจของพระครูวิริยานุโยค (สมบัติ บุญประเสริฐ) ที่มองเห็นคุณค่ามรดกทางวัฒนธรรมของไทยพวน อันได้แก่ จารีตประเพณี วิถีวัฒนธรรมและการดำรงชีวิต จึงได้จัดสร้างพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านไทยพวนขึ้น โดยยึดหลักกระบวนการมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน พระครูวิริยานุโยคใช้แนวทางที่เรียกว่า “บวร” ซึ่งหมายถึง บ้าน วัด โรงเรียน บ้านทำหน้าที่ติดต่อให้ได้มาซึ่งสิ่งของเครื่องใช้ของไทยพวน วัดคอยรวบรวมสิ่งของจัดเป็นหมวดหมู่ โรงเรียนมายถึงศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอปากพลีและโรงเรียนต่าง ๆ ช่วยจัดทำพิพิธภัณฑ์ การให้บริการพิพิธภัณฑ์ทำต่อเนื่องมานานถึง 9 ปี โดยมีคณะดำเนินการอย่างมีส่วนร่วม มีการพัฒนาปรับปรุงไปแล้ว 3 ครั้ง หลักการพัฒนาปรับปรุง พระครูวิริยานุโยคได้นำคำติชมในสมุดเยี่ยมพิพิธัณฑ์และข้อเสนอแนะจากผลการวิจัยมาเป็นข้อปรับปรุงพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านไทยพวนวัดฝั่งคลองมาโดยตลอด

วันจันทร์, มีนาคม 05, 2550

สัมพันธภาพระหว่างนกเอี้ยงกับควาย

เด็กๆในชนบทชอบร้องเพลงล้อเลียนเรื่องราวความเป็นไปรอบ ๆ ตัวกรณีเช่นเพลง...”.นกเอี้ยงมาเลี้ยงควายเฒ่าควายกินข้าวนกเอี้ยงหัวโต.”..........ร้อง....เล่นกันสนุกสนาน รู้แต่เพียงว่านกเอี้ยงชอบเกาะบนหลังควายเดินไปเดินมาโดยที่ควายไม่รำคาญเลย ลึกลงไปกว่านั้นคืออะไร.....หากสังเกตอย่างละเอียดจะพบว่านกเอี้ยงและควายมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน.....นกเอี้ยงคอยจับแมลงเช่น เหลือบ เห็บ ริ้น ที่มาดูดเลือดควายกินเป็นอาหาร...ควายก็มีความสุขที่ไม่ต้องถูกแมลงรบกวน.......สรุปว่าต่างก็ได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย...ภาษาต่างชาติเขาเรียก win win เรื่องอะไรก็ตามหากทั้งสองฝ่ายต่างได้รับประโยชน์จะจบด้วยความสุข..ดังตัวอย่างนกเอี้ยงกับควาย คู่นี้ก็น่ารักไปอีกแบบหนึ่ง

กะเต็นปักหลักกับนักตกปลา

“อาชัย”...เป็นน้องชายคนสุดท้องอาศัยอยู่จังหวัดสระแก้ว งานอดิเรกที่ชอบมากคือ..ดูนกและตกปลา.......อาทิตย์ก่อนอาชัยมาพักอยู่บ้านในสวนประดู่ป่าแคมป์....ก่อนกลับอาชัยบอกว่า....พี่มีนกกะเต็นปักหลักตัวหนึ่งบินมาที่สระต้นหว้าในสวนทุกวันประมาณ เก้าถึงสิบโมง ตัวลาย ขาวสลับดำ สวยมากจำนวนกะเต็นปักหลักเหลือน้อยจริงๆ....ชัยไปตกปลาที่คลองพระสะทึงที่สระแก้วพบกะเต็นปักหลักทุกครั้ง มีด้วยกัน 4 ตัว บินผ่านมาตอนเช้าประมาณ สิบโมงและบินกลับตอนบ่ายประมาณบ่ายสองโมง........เขาบินผ่านมาจะร้องทัก....สองครั้งเสมอ....ชัยทักเขาว่า...หากินสะดวกไหม.....มิตรภาพระหว่างคนกับนกที่มีเป้าหมายเดียวกันเป็นไปด้วยความราบรื่น......โลกที่สรรพสิ่งล้วนเข้าใจซึ่งกันและกันดูมีความสุขดีนะ

วันพุธ, กุมภาพันธ์ 07, 2550

กล้องส่องวิสัยทัศน์

นักดูนกทุกคนจะมีอุปกรณ์หนึ่งที่ไม่ยอมให้ห่างกายคือ กล้องส่องทางไกล(binoculars).....ทำไหมหรือ..เพราะคุณสมบัติของกล้องส่องทางไกลทำให้นักดูนกเห็นลายละเอียดในสิ่งที่ตาปกติไม่สามารถมองเห็นได้..........เช่น ขอบดวงตา ปลายปาก เล็บเท้าหรือลายละเอียดอื่นๆของนก การเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ปกติไม่สามารถเห็นได้...ทำให้เกิดความคิดและมุมมองที่ต่างออกไป.....ปรากฏการณ์ของการใช้กล้องส่องทางไกล.....เปรียบเสมือนบุคคลที่มีมุมมอง...มองอย่างมีจินตนาการ....มองไปในอนาคต...สร้างภาพในมโนทัศน์ให้เกิดก่อนเกิดจริง........บุคคลที่มีคุณสมบัติเช่นนี้เราเรียกว่า บุคคลผู้มีวิสัยทัศน์(vision)เป็นบุคคลที่มีแนวโน้มทำอะไรๆสำเร็จอย่างมีคุณภาพ

วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 05, 2550

โลกไร้พรมแดน

คนไทยสมัยก่อนจะคุ้นกับเพลงกล่อมลูก. “...เจ้านกขมิ้นเหลืองอ่อนค่ำแล้วจะนอนไหนเอย....เอ้ย”..เพราะร้องกันมาช้านานคนไทยรู้ว่านกขมิ้นไม่ทำรัง......มาเดียวนี้เรารู้ว่านกขมิ้นเป็นนกอพยพ เขามีถิ่นเกิดในเขตหนาวแถบไซบีเรีย......ถึงฤดูหนาวจะอพยพลงมาทางใต้....พอหายหนาวก็จะกลับคืนถิ่น...เหตุนี้แหละที่นกขมิ้นไม่ทำรังในประเทศไทย.......ประเทศของนกขมิ้นหมายถึงโลก...โลกทั้งใบ...โลกที่ไร้พรมแดน.....เรื่องจริงที่เกิดขึ้นในธรรมชาติมักจะเป็นแบบอย่างให้มนุษย์ทำตามเสมอๆ.......ปัจจุบันมนุษย์ในเขตหนาวเช่น ยุโรป อเมริกา รัสเซียเมื่อถึงฤดูหนาว......เขาเหล่านั้นประหยัดพลังงานประหยัดเงินปิดบ้านหนีหนาวมาอยู่เมืองไทยดีกว่า..............โลกเราไร้พรมแดนสำหรับนกขมิ้นท้ายทอยดำมาช้านานแล้ว...ในอนาคตโลกจะไร้พรมแดนสำหรับมนุษย์ที่รักสันติสุขทุกคน....